วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“แม้เด็กไทยไม่กินหวานจะทำงานมา 20 กว่าปี และเราก็พูดเรื่องอ้วนในเด็กมาตลอด เราก็ยังไม่สามารถจะคุมอะไรได้เพราะเรื่องของอ้วนตอนนี้เป็นปัญหาที่เรียกว่าเป็นสากล แล้วก็กระทบไปถึงระบบเศรษฐกิจด้วย เด็กอ้วนเพิ่มขึ้นเร็วมาก สหพันธ์โรคอ้วนโลกเขาทำนายไว้ว่าเด็กไทยเองก็น่าเป็นห่วง จนถึงปี 2573 เราอาจจะมีคนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ในกลุ่มที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ไปถึง 30% อันนี้มันเหมือนเราแข่งกันกับภาวะการเป็นสังคมผู้สูงอายุเลย คือมีคนอ้วนใกล้เคียงกับคนเป็นผู้สูงอายุ คือมันจะอยู่ในสังคมซึ่งเป็นภาวะที่น่าเป็นห่วงมาก ถ้าเราไม่จัดการอะไรกับสิ่งเหล่านี้เลย”
ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และผู้จัดการโครงการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวในการบรรยาย (ออนไลน์) หัวข้อ “การตลาดอาหารในโรงเรียนกับมาตรการควบคุม” จัดโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อเร็วๆ นี้
ถึงสถานการณ์ของสังคมไทย ที่ด้านหนึ่งสัดส่วนประชากรสูงวัยกำลังเพิ่มขึ้น และอีกด้านจำนวนเด็กที่โตมาพร้อมกับโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินก็เพิ่มขึ้นด้วย
เป็นที่ทราบกันดีว่า “โรคอ้วนเป็นประตูสู่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)” เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยมีงานศึกษาพบว่า ร้อยละ 31 ของผู้ป่วยเบาหวาน และร้อยละ 22 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เคยมีประวัติเป็นเด็กอ้วนทั้งนี้ “เครื่องดื่มผสมน้ำตาล” ถือเป็นวิถีการบริโภคของคนไทยทุกชนชั้น เห็นได้จาก “กาแฟ” มีตั้งแต่ราคาแก้วละยี่สิบกว่าบาทไปจนถึงหลักร้อยบาท
และนอกจากน้ำตาลแล้ว โซเดียมกับไขมันก็เป็นอีก 2 สิ่งในอาหารที่เป็นปัจจัยเอื้อต่อความอ้วน (รวมถึงโรค NCDs อื่นๆ) ซึ่งจากที่เคยสำรวจใหญ่ทั่วประเทศ พบ“ขนมขบเคี้ยว” สร้างปัญหาการบริโภคโซเดียมในเด็กเฉลี่ยร้อยละ 30 ต่อวัน ขณะที่ “มาตรการทางภาษียังไม่สามารถสู้กับกลยุทธ์การตลาด” การลดแลกแจกแถมยังทำให้คนอยากบริโภค ซึ่งการควบคุมการตลาดเป็นมาตรการที่ได้รับการรับรองจากสมัชชาองค์การอนามัยโลก (WHO) แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายปกป้องเด็กไทยจากการตลาดอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้
“ผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ไม่สามารถจะควบคุม NCDs ได้จริงจัง ถ้าเราไม่มีกลไกใดๆ ที่จะป้องกันเด็กจากสารทั้งน้ำตาล เกลือและไขมัน เพราะฉะนั้นเราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมาพูดกันในมาตรการที่ว่าด้วยเรื่องของการตลาดให้ชัดเจนมากขึ้น แล้วส่วนตัวคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียเกี่ยวข้องทั้งหลายจะต้องเริ่มเข้าใจและสนใจเรื่องนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการชิงโชค การให้รางวัล การแถมพกทั้งหลาย ซึ่งเราก็พยายามจะจัดการเรื่องนี้มาระยะหนึ่ง จนตอนนี้ก็เงียบไปก็ยังทำไม่สำเร็จ” ทพญ.ปิยะดา ระบุ
ทพญ.ปิยะดา กล่าวต่อไปว่า ในขณะที่มีความพยายามทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่า การบริโภคสิ่งเหล่านี้เป็นตัวที่จะทำให้สุขภาพของเขานั้นเสียไปและมีโอกาสเป็นโรคในอนาคต แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าคนวัยใดล้วนใช้ชีวิตอยู่กับสื่ออินเตอร์เนตแทบทั้งวัน “โฆษณาแฝง (Tie-in) สินค้าในภาพยนตร์หรือละครซีรี่ส์ สามารถพบเห็นได้ทั่วไป” และกระตุ้นให้คนอยากบริโภค ดังนั้นจึงต้องหาทางป้องกันไม่ให้เด็กเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หนึ่งในการขับเคลื่อนที่ดำเนินการกันมาแล้วคือ “โรงเรียนปลอดน้ำอัดลม” เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานเริ่มทำงานกับโรงเรียนต่างๆ มาตั้งแต่ช่วงปี 2547-2548 แต่กว่าจะได้รับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ จนออกมาเป็นประกาศกระทรวงฯ ต้องรอจนถึงปี 2563 จากนั้นในปี 2564 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ออกประกาศทำนองเดียวกัน ว่าด้วยการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เกลือและไขมันสูงในสถานศึกษาซึ่งรวมถึงการควบคุมเวลาจำหน่ายด้วย เพราะไม่เช่นนั้นก็จะได้รับสารดังกล่าวมากเกินไปอยู่ดี
ความท้าทายของประกาศนี้คือ “ในความเป็นจริงสถาบันการศึกษาต้องพึ่งพาการบริจาคหรือสนับสนุนสิ่งของจำเป็นจากภาคเอกชน” เช่น อุปกรณ์กีฬา ตู้แช่ รวมถึงเงินทุน ดังนั้น จึงต้องออกแนวปฏิบัติให้ชัดเจนเพื่อให้ปฏิบัติได้จริง อาทิ หากบริจาคเป็นเครื่องดื่มก็ต้องเป็นเครื่องดื่มที่ลดปริมาณน้ำตาลแล้ว หรือหากบริจาคเงินก็ห้ามแสดงตราสัญลักษณ์สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ โดยยังสามารถแสดงชื่อบริษัทหรือมูลนิธิของบริษัทได้ เป็นต้น
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนที่เริ่มจากโรงเรียน มีเป้าหมายคือนำไปสู่การผลักดันให้มี “กฎหมายควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบกับเด็ก (ในระดับพระราชบัญญัติ)” โดยถอดบทเรียนจากการผลักดันมาตรการ “ภาษีความหวาน” ซึ่งมีความพยายามรณรงค์สร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง จนท้ายที่สุดมาตรการก็ออกมาบังคับใช้ได้โดยไม่มีแรงต้านมากนัก จึงเห็นว่า หากไม่มีแรงต้านจากโรงเรียนและผู้ปกครอง ร่างกฎหมายควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบกับเด็ก ก็จะสามารถผลักดันได้เป็นผลสำเร็จ
แต่ก็ต้องบอกว่า “แม้จะมีกฎหมายออกมาแต่ก็ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก” โดยเฉพาะ “การควบคุมการตลาดผ่านสื่อ” เช่น มีข้อค้นพบว่า ร้อยละ 95 ของเด็ก รู้จักขนมจากโทรทัศน์ ร้อยละ 59 รู้สึกอยากกินขนมเมื่อเห็นโฆษณา ร้อยละ 79 เคยกินขนมที่เห็นในโฆษณา แต่ปัจจุบันที่เป็น “ยุคดิจิทัล” โฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สามารถพบเห็นได้บ่ายครั้งบนพื้นที่ออนไลน์ รวมถึงมีบรรดาคนดังบนอินเตอร์เนต (Influencer) รับงานโปรโมท
“ณ ขณะนี้ เรามีช่องว่างที่เราต้องช่วยกันทำงานอยู่ในเรื่องของการตลาด โดยเฉพาะเรื่องของการผ่านสื่อ สื่อโซเชียลนี่สำคัญที่สุด สื่อมวลชนทั้งหลาย การชิงโชค การแถมพก” ทพญ.ปิยะดา กล่าว

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี