“แม้เด็กไทยไม่กินหวานจะทำงานมา 20 กว่าปี และเราก็พูดเรื่องอ้วนในเด็กมาตลอด เราก็ยังไม่สามารถจะคุมอะไรได้เพราะเรื่องของอ้วนตอนนี้เป็นปัญหาที่เรียกว่าเป็นสากล แล้วก็กระทบไปถึงระบบเศรษฐกิจด้วย เด็กอ้วนเพิ่มขึ้นเร็วมาก สหพันธ์โรคอ้วนโลกเขาทำนายไว้ว่าเด็กไทยเองก็น่าเป็นห่วง จนถึงปี 2573 เราอาจจะมีคนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ในกลุ่มที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ไปถึง 30% อันนี้มันเหมือนเราแข่งกันกับภาวะการเป็นสังคมผู้สูงอายุเลย คือมีคนอ้วนใกล้เคียงกับคนเป็นผู้สูงอายุ คือมันจะอยู่ในสังคมซึ่งเป็นภาวะที่น่าเป็นห่วงมาก ถ้าเราไม่จัดการอะไรกับสิ่งเหล่านี้เลย”
ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และผู้จัดการโครงการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวในการบรรยาย (ออนไลน์) หัวข้อ “การตลาดอาหารในโรงเรียนกับมาตรการควบคุม” จัดโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อเร็วๆ นี้
ถึงสถานการณ์ของสังคมไทย ที่ด้านหนึ่งสัดส่วนประชากรสูงวัยกำลังเพิ่มขึ้น และอีกด้านจำนวนเด็กที่โตมาพร้อมกับโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินก็เพิ่มขึ้นด้วย
เป็นที่ทราบกันดีว่า “โรคอ้วนเป็นประตูสู่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)” เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยมีงานศึกษาพบว่า ร้อยละ 31 ของผู้ป่วยเบาหวาน และร้อยละ 22 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เคยมีประวัติเป็นเด็กอ้วนทั้งนี้ “เครื่องดื่มผสมน้ำตาล” ถือเป็นวิถีการบริโภคของคนไทยทุกชนชั้น เห็นได้จาก “กาแฟ” มีตั้งแต่ราคาแก้วละยี่สิบกว่าบาทไปจนถึงหลักร้อยบาท
และนอกจากน้ำตาลแล้ว โซเดียมกับไขมันก็เป็นอีก 2 สิ่งในอาหารที่เป็นปัจจัยเอื้อต่อความอ้วน (รวมถึงโรค NCDs อื่นๆ) ซึ่งจากที่เคยสำรวจใหญ่ทั่วประเทศ พบ“ขนมขบเคี้ยว” สร้างปัญหาการบริโภคโซเดียมในเด็กเฉลี่ยร้อยละ 30 ต่อวัน ขณะที่ “มาตรการทางภาษียังไม่สามารถสู้กับกลยุทธ์การตลาด” การลดแลกแจกแถมยังทำให้คนอยากบริโภค ซึ่งการควบคุมการตลาดเป็นมาตรการที่ได้รับการรับรองจากสมัชชาองค์การอนามัยโลก (WHO) แต่ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายปกป้องเด็กไทยจากการตลาดอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้
“ผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ไม่สามารถจะควบคุม NCDs ได้จริงจัง ถ้าเราไม่มีกลไกใดๆ ที่จะป้องกันเด็กจากสารทั้งน้ำตาล เกลือและไขมัน เพราะฉะนั้นเราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมาพูดกันในมาตรการที่ว่าด้วยเรื่องของการตลาดให้ชัดเจนมากขึ้น แล้วส่วนตัวคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือภาคเอกชน ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียเกี่ยวข้องทั้งหลายจะต้องเริ่มเข้าใจและสนใจเรื่องนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการชิงโชค การให้รางวัล การแถมพกทั้งหลาย ซึ่งเราก็พยายามจะจัดการเรื่องนี้มาระยะหนึ่ง จนตอนนี้ก็เงียบไปก็ยังทำไม่สำเร็จ” ทพญ.ปิยะดา ระบุ
ทพญ.ปิยะดา กล่าวต่อไปว่า ในขณะที่มีความพยายามทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่า การบริโภคสิ่งเหล่านี้เป็นตัวที่จะทำให้สุขภาพของเขานั้นเสียไปและมีโอกาสเป็นโรคในอนาคต แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าคนวัยใดล้วนใช้ชีวิตอยู่กับสื่ออินเตอร์เนตแทบทั้งวัน “โฆษณาแฝง (Tie-in) สินค้าในภาพยนตร์หรือละครซีรี่ส์ สามารถพบเห็นได้ทั่วไป” และกระตุ้นให้คนอยากบริโภค ดังนั้นจึงต้องหาทางป้องกันไม่ให้เด็กเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หนึ่งในการขับเคลื่อนที่ดำเนินการกันมาแล้วคือ “โรงเรียนปลอดน้ำอัดลม” เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานเริ่มทำงานกับโรงเรียนต่างๆ มาตั้งแต่ช่วงปี 2547-2548 แต่กว่าจะได้รับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ จนออกมาเป็นประกาศกระทรวงฯ ต้องรอจนถึงปี 2563 จากนั้นในปี 2564 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ออกประกาศทำนองเดียวกัน ว่าด้วยการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เกลือและไขมันสูงในสถานศึกษาซึ่งรวมถึงการควบคุมเวลาจำหน่ายด้วย เพราะไม่เช่นนั้นก็จะได้รับสารดังกล่าวมากเกินไปอยู่ดี
ความท้าทายของประกาศนี้คือ “ในความเป็นจริงสถาบันการศึกษาต้องพึ่งพาการบริจาคหรือสนับสนุนสิ่งของจำเป็นจากภาคเอกชน” เช่น อุปกรณ์กีฬา ตู้แช่ รวมถึงเงินทุน ดังนั้น จึงต้องออกแนวปฏิบัติให้ชัดเจนเพื่อให้ปฏิบัติได้จริง อาทิ หากบริจาคเป็นเครื่องดื่มก็ต้องเป็นเครื่องดื่มที่ลดปริมาณน้ำตาลแล้ว หรือหากบริจาคเงินก็ห้ามแสดงตราสัญลักษณ์สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ โดยยังสามารถแสดงชื่อบริษัทหรือมูลนิธิของบริษัทได้ เป็นต้น
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนที่เริ่มจากโรงเรียน มีเป้าหมายคือนำไปสู่การผลักดันให้มี “กฎหมายควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบกับเด็ก (ในระดับพระราชบัญญัติ)” โดยถอดบทเรียนจากการผลักดันมาตรการ “ภาษีความหวาน” ซึ่งมีความพยายามรณรงค์สร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วไปมาอย่างต่อเนื่อง จนท้ายที่สุดมาตรการก็ออกมาบังคับใช้ได้โดยไม่มีแรงต้านมากนัก จึงเห็นว่า หากไม่มีแรงต้านจากโรงเรียนและผู้ปกครอง ร่างกฎหมายควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบกับเด็ก ก็จะสามารถผลักดันได้เป็นผลสำเร็จ
แต่ก็ต้องบอกว่า “แม้จะมีกฎหมายออกมาแต่ก็ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก” โดยเฉพาะ “การควบคุมการตลาดผ่านสื่อ” เช่น มีข้อค้นพบว่า ร้อยละ 95 ของเด็ก รู้จักขนมจากโทรทัศน์ ร้อยละ 59 รู้สึกอยากกินขนมเมื่อเห็นโฆษณา ร้อยละ 79 เคยกินขนมที่เห็นในโฆษณา แต่ปัจจุบันที่เป็น “ยุคดิจิทัล” โฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สามารถพบเห็นได้บ่ายครั้งบนพื้นที่ออนไลน์ รวมถึงมีบรรดาคนดังบนอินเตอร์เนต (Influencer) รับงานโปรโมท
“ณ ขณะนี้ เรามีช่องว่างที่เราต้องช่วยกันทำงานอยู่ในเรื่องของการตลาด โดยเฉพาะเรื่องของการผ่านสื่อ สื่อโซเชียลนี่สำคัญที่สุด สื่อมวลชนทั้งหลาย การชิงโชค การแถมพก” ทพญ.ปิยะดา กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี