l 0.ชีวิตของปู่จิ๊บ พัฒนามาอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป
พ่อแม่ครูพระ เป็นทั้งเข็มทิศ และกัปตัน ที่แจวนาวาชีวิตก้าวไปข้างหน้าในวันเริ่มแรกคำสอน และการปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะ ป๋าแม่ ก๋ง ยาย ที่ในยามเด็กเล็ก ได้รู้ได้เห็นมันซึมซับเข้ามาในตัว ในชีวิตและจิตใจ อย่างค่อยๆ เป็นไปและเรา ก็เรียนรู้ และทำตาม ด้วยความรักและ ความเคารพ
@ ป๋าแม่ ให้กำเนิดชีวิต และการเป็นแบบอย่างในการทำงาน
ป๋าแม่ทำงานหนัก ในการเลี้ยงลูก ๙ ชีวิต ที่ก่อเกิดจากความรักของป๋าและแม่ ซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา การอบรมสั่งสอนก็เป็นยอดอยู่แล้วการสอนให้ รักการทำงาน ไม่ให้อยู่เฉยๆ นิ่งดูดาย แต่ให้ช่วยเหลืองานของทางบ้าน การมุ่งมั่น ตั้งใจเรียน
“ป๋า ไม่มีสมบัติอะไรจะให้ นอกจากการศึกษา” เป็นคำพูดที่ติดตาติดใจมาตลอด การเป็นแบบอย่างให้ ญาติพี่น้องและชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน ได้รู้ได้เห็น โดยเฉพาะลูกๆ
@ และโดยเฉพาะ “ปู่จิ๊บ” ได้เห็นผลลัพธ์มากขึ้น
เมื่อมาเรียนต่อกรุงเทพฯ ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และคณะวิศวะจุฬาฯซึ่งได้มาอยู่กับ “พี่เฉลาพี่อารี ลูกของป๋าแฉล้ม”พี่สาวคนโตของป๋าที่พี่ๆ ทางญาติของป๋า ได้ดูแลเอาใจใส่ “หลานจิ๊บ” ด้วยความรักเป็นผลตอบแทน จากการที่ “ป๋า” มีน้ำใจ ดูแล “หลานๆ” คือ ลูกของป้าแฉล้มและป้าบุญมีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
นี่เป็น “ตัวอย่างอันงดงาม” ในความสัมพันธ์ของพี่น้องเครือญาติ ที่ตกมาถึงปู่จิ๊บ
ซึ่งปัจจุบัน ในสำคัญยุคนี้ หาได้ยากมาก ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมากควรที่ “คนทุกรุ่น ที่ยังอยู่” ควรจะได้ตระหนัก และปรับปรุงแก้ไขอย่าให้สายเกินแก้
l 1. ชีวิตที่เริ่มพัฒนาด้วยตนเอง
จากชีวิตในวัยเด็ก สู่หนุ่มสาว ของนักเรียนกรุง ที่นั่งรถไฟมาจากลำปางเรียนหนัก แต่ก็สนใจกิจกรรม มาตั้งแต่เรียน ณ โรงเรียนเตรียมอุดมฯ รุ่น ๒๕๐๘ มาทุ่มเทหนักขึ้น เมื่อเข้ามาเรียนวิศวะจุฬาฯ รุ่น ๒๕๑๐ การทำกิจกรรมที่มากกว่าเรียนทำให้ได้เข้าใจชีวิต การทำงาน เพื่อนมิตรหลากหลายคณะและเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตลอดชีวิต แม้จะต้องเอาตัวเองเป็นหลัก เพราะห่างจากบ้านลำปางแต่ทุกเดือน จดหมายน้อยจากคุณแม่ที่ส่งให้ลูกทุกคนที่มาเรียนกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ต่างประเทศที่เต็มไปด้วยความรัก ความเป็นห่วง และคำสอนที่มาด้วยรูปแบบต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในชีวิต
@ เวลาที่ผ่านไป ให้ความจริงแก่เรามากขึ้น จากการที่เรายังคงมุ่งมั่นเดินหน้าต่อตามอุดมคติ ด้วยการทำจริงลงคิดลงแรง ฝ่าฟันอุปสรรค ด้วยสติปัญญาความจริงแล้วนำมาสรุปบทเรียนของชีวิต
เมื่อเริ่มเป็นผู้ใหญ่ หลังจากจบการศึกษา ได้ปริญญาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิตรับพระราชทานจากในหลวง ร.๙ รวมทั้งการได้เห็นพระราชกรณียกิจ อย่างใกล้ชิด ในโอกาสการเป็นนายกสจม.
โดยเฉพาะ “สิ่งยิ่งใหญ่ ที่ในหลวง ร.๙ ลงปิดทองหลังองค์พระฯ” ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ เหตุการณ์ พฤษภาคม ๒๕๓๕ฯ ทำให้เราจดจำ และนำมาเป็นแบบอย่างในชีวิต
“ทรงทำทุกทาง เพื่อให้ประเทศไม่วุ่นวาย สงบสุข ประชาชนปลอดจากทุกข์ มีสุข มีความปลอดภัยในชีวิต”ทำให้เราได้ข้อสรุป เป็นหลักในการดำเนินชีวิตตลอดมาและตลอดไป นั่นคือ
เรายึดในหลักการข้างบนนี้ ไม่ได้ยึดตัวบุคคล“ใครที่ทำให้กับแผ่นดิน ตามหลักนี้” เราเคารพและ เราเข้าใจโลกธรรมชาติ และชีวิต“ในโลกนี้ ในแผ่นดินนี้ ไม่มีใคร ดีเลิศ ประเสริฐหมด ทุกคนทุกสถาบัน ไม่มีใครดีหมด ถูกหมดโลกและแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล มีหลากหลายสิ่งที่ดี ที่ไม่ดีมีอุปสรรคไปตลอดทางเดิน เราต้องยึดหลักใหญ่ คือ มองภาพรวม มองสิ่งที่ดีมีคุณค่า ความหมาย มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง และเราเคารพในหลักการสำคัญนี้”
l 2. เราเรียนรู้ความจริงของ “ความยุติธรรม”จากการต่อสู้ ที่เป็นจริง
และเมื่อเราเติบโตพัฒนาชีวิต ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อความถูกต้องเป็นธรรม มาอย่างหลากหลาย โชกโชนเรายิ่งเจออุปสรรคมากขึ้น เดินทางยากขึ้น หลายสิบหลายร้อยเท่า เมื่อเทียบกับวัยเด็กความสำเร็จ ก็ย่อมเป็นเรื่องของความภาคภูมิใจแต่สิ่งที่เราได้มากกว่า มาจาก “การล้ม การไม่สำเร็จ ไม่สมหวัง จนถึงการพ่ายแพ้ฯ” มันให้บทเรียนที่สำคัญแก่เรามากเราเข้าใจมากขึ้นดีขึ้นทั้งชีวิต การงาน สถานการณ์ของบ้านเมือง เข้าใจลึกซึ้งถึง “ประชาธิปไตย รัฐประหาร” มีทั้งลบและบวก ซึ่งดูจากเรื่องราวที่เป็นจริง มันมีสองด้าน มีทั้งบวก และลบ มีดี มีเสีย
@ ในเรื่องยุติธรรม ที่เป็นหัวใจ ที่เราเรียกร้องฝันหา
เราเริ่มเข้าใจในเชิงคุณภาพ ความเป็นจริงมากขึ้น จาก “ยุติธรรมที่เขาให้ ไม่ยุติธรรม ยุติธรรมจะได้มาด้วยการต่อสู้” “ยุติธรรมที่ล่าช้า คือ ความไม่ยุติธรรม” ยุติธรรมสำเร็จรูป ยุติธรรม ๑๐๐% ไม่เคยมี “เราต่อสู้มาด้วยเลือดเนื้อชีวิต เราได้ “ยุติธรรม” มาบางส่วนและ “ยุติธรรม” ก็บินกลับไปหา “ผู้มีอำนาจ พรรคการเมือง ทุน มวลชน สื่อ นักวิชาการฯ” แต่เราก็จะต้องเดินหน้าต่อไป ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป ร่วมกับประชาชนฯสู้กับความจริง ๒ ด้าน ของยุติธรรม ทั้งจากสังคม จากกระบวนการยุติธรรม ตำรวจ อัยการ ศาลฯ
l 3. ข้อคิดที่มีคุณค่า จาก “เพื่อนสนิทสหายรัก”
ชีวิตของเทิดภูมิ ใจดี และผม จึงมีฐานะเป็น “กบฏ” มาตลอดชีวิต เพราะเรากล้าสู้กับสิ่งที่ไม่มีทางชนะ “กบฏ” จึงเป็นเรื่องราวของผู้กล้า “แพ้” แต่เราก็ชอบที่จะพ่ายแพ้เพราะผมคิดว่าชีวิตที่มี “ค่า” และได้เรียนรู้มากที่สุด คือชีวิตของผู้แพ้
“เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ”
l ผมเห็นด้วยบางส่วน และเห็นต่างในอีกส่วนหนึ่ง
การเรียนรู้ สัจธรรมของชีวิต การทำงาน การต่อสู้เป็นของทั้งผู้กล้าชนะ และผู้กล้าแพ้เพราะพลังและพลังของเราฝ่ายเรา ยังเล็ก ยังน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับ “ฝ่ายที่เราต่อสู้”
@ สรุป คือ เราต้องกล้าที่จะต่อสู้ เพื่อหวังชนะ โดยพิจารณา พลังของเรา ของเขา และฝ่ายอยู่เฉยๆ เราต้องคำนึงถึงแนวโน้มของสถานการณ์ ปัจจัยที่เป็นคุณเป็นโทษ ที่จะตามมาด้วยหลักคิดที่ถูกต้อง สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ด้วยสติปัญญา ความจริง
l 4. สุดท้าย
ที่ต้องเขียน เพราะได้รับฟัง “ความคิดเห็นของเพื่อนพ้องน้องพี่” ที่ทุ่มเทพลังทุกอย่าง เข้าร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ กปปส. ฯลฯและระบายความรู้สึกออกมาว่า “ทำไปแล้ว ไม่ได้อะไร”“ทำแล้ว สูญเปล่า” ฯลฯ
l ความคิดจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ด้วยเลือดเนื้อชีวิต คุกตะราง แพ้คดี ฯลฯ
๑. สิ่งที่ได้ทำไป ผ่านความคิดอย่างรอบครอบ ทำด้วยสติปัญญา ความจริงทำด้วยใจรัก ทำด้วยชีวิต เพื่อรักษาปกป้องความถูกต้อง ส่วนรวมและแผ่นดิน
๒. ทำด้วยความรู้สึกตัว ว่า
(๑) มีโอกาสชนะ
(๒) มีโอกาสแพ้
๓. ผลที่เกิดขึ้น
(๑) เราได้ทำดี ทำถูกต้อง
(๒) ประเทศชาติ ผ่านมาได้ ด้วยการกระทำของพวกเรา
l สภาพการณ์ในปัจจุบันที่เกิดขึ้น ที่เราเห็น
๑. ความจริงที่เราเห็น ความไม่ยุติธรรม อภิสิทธิ์ชนของผู้กลับมามีอำนาจ
๒. ความจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเราต้องติดตามดูต่อไป ซึ่งเราจะต้องลงแรงคิดลงแรงทำต่อไป ควบคู่ไปด้วย
l บทเรียนใหญ่ที่ผมได้รับมาจากการต่อสู้ และสิ่งสถิตในหัวใจ คือ
๑. เดินไปตามเส้นทางอุดมคติ ที่บรรพบุรุษเราสร้างไว้ และเราได้เดินทางบนเส้นทางนี้
๒. เราคิดและทำ ด้วยความรักความสุข ทำงานเต็มที่เต็มกำลังความสามารถของเราเป็นหลัก
๓. ผลที่จะออก เป็นเรื่องรอง ในสังคมที่เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในปัจจุบัน
๔. เราจะเดินทางต่อไป ด้วยความสุข ด้วยกำลังใจ ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเราได้
l ท้ายสุด “ผมคงอยู่ไม่ถึง วันแห่งความยุติธรรมในสังคมไทย” แต่ “หัวใจและสองเท้าของผม คงจะเดินไปตามเส้นทางนี้ ตราบเท่าที่ชีวิตสุดท้ายจะมาถึง” และหวังว่า “คนรุ่นในอนาคต และลูกของเหลน โหลน....ของผม” คงจะเป็นผู้ให้คำตอบ!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี