แม้นายกฯ เศรษฐาจะยืนยันมั่นใจว่า จะสามารถเติมเงินหมื่นเข้ากระเป๋าประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้ในไตรมาส 4 ปีนี้แน่นอน
แต่ทำไมประชาชนบางส่วน ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ตามนั้น
และทำไมยังมีเสียงคัดค้านแนวทางการดำเนินโครงการนี้อยู่?
1. พรรคเพื่อไทยชี้แจงประเด็นที่สังคมสงสัยหลายประการ อาทิ
1.1 ประเด็น ไหนบอกไม่กู้เงินไง?
พรรคเพื่อไทยตอบว่า “เป็นการบริหารจัดการงบประมาณจาก 3 แหล่ง ได้แก่
การบริหารจัดการงบประมาณปี 2567 : 175,000 ล้านบาท
การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ : 172,300 ล้านบาท
และงบประมาณปี 2568 : 152,700 ล้านบาท”
ความจริง เงินจำนวน 172,300 ล้านบาท ที่ว่าจะมาผ่านหน่วยงานรัฐนั้น (ธ.ก.ส.) ก็ไม่ต่างจากการยืมเงิน ธ.ก.ส.มาทำโครงการก่อน โดยจะต้องตั้งงบประมาณชดเชยในภายหลัง พร้อมทั้งค่าดำเนินการ และดอกเบี้ย โดยที่เงินส่วนนี้ ธ.ก.ส.อาจจะต้องไปกู้มาจากที่อื่น เพื่อนำมาดำเนินโครงการตามใบสั่งรัฐบาล (เหมือนจำนำข้าว)
นอกจากนี้ ส่วนที่จะมาจากงบประมาณปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท ก็มาจากการขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม ซึ่งก็คือการกู้เงินนั่นเอง
เพราะฉะนั้น ต่อให้พรรคเพื่อไทยพยายามจะบ่ายเบี่ยง เลี่ยงที่จะยอมรับว่ากู้เงิน แต่ความจริง มันก็คือการกู้เงินมาแจกนั่นเอง
เพียงแต่ไม่ได้ออกกฎหมายกู้เงินเป็นการเฉพาะเท่านั้น
1.2 ประเด็น ธ.ก.ส.มีเงินจำกัด มีสภาพคล่องจากเงินฝาก 100% ที่ 1.8 ล้านล้าน ตอนนี้มีสินเชื่อแล้ว 1.2 ล้านล้าน สภาพคล่องไม่ได้เยอะขนาดนั้น?
พรรคเพื่อไทยตอบว่า “ปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการดำเนินโครงการฯ และสามารถระดมเงินฝากเพิ่มเติมได้เมื่อมีความจำเป็น...
ธ.ก.ส. เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะเพื่อสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐ ดังนั้น หากรัฐบาลมีนโยบายที่จำเป็นต้องดำเนินการผ่าน ธ.ก.ส. และอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. ก็สามารถดำเนินการได้”
ความจริง ธ.ก.ส.มีกฎหมายเฉพาะกำกับว่าจะดำเนินโครงการลักษณะใดได้บ้าง ไม่ใช่ทำได้ทุกโครงการตามใบสั่งรัฐบาลทุกเรื่องเสมอไป
เงินที่ใช้ดำเนินโครงการ 1.7 แสนล้านบาท แม้จะไม่ใช่เงินของธ.ก.ส. หรือเป็นเงินฝากธ.ก.ส.ก็ตาม ล้วนมีต้นทุนและค่าเสียโอกาส ยิ่งถ้า ธ.ก.ส.ต้องไปกู้มาจากแหล่งอื่นเพื่อมาทำโครงการ ก็ต้องมีดอกเบี้ย มีค่าดำเนินการ และมีภาระที่รัฐบาลจะต้องชดเชยหรือชดใช้คืน กระทบต่อความสามารถในการบริหารสภาพคล่องของธ.ก.ส.แน่นอน เพราะโครงการที่ ธ.ก.ส.ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลจนถึงปัจจุบัน ส่วนที่รัฐบาลยังไม่ชดเชยคืนให้มีมูลค่ารวม 6 แสนกว่าล้านบาท!!!
2. โครงการแจกเงินดิจิทัลไปไม่รอด?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสส. ที่ตรวจสอบกลโกงโครงการจำนำข้าว ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ระบุว่า ดิจิทัล วอลเล็ตไปไม่รอด
“...นายเผ่าภูมิ มือเศรษฐกิจของนายเศรษฐา ทึกทักว่า วรรคสุดท้าย ของวัตถุประสงค์ธ.ก.ส. ตามมาตรา 9(3) ของพ.ร.บ.ธ.ก.ส. เขียนไว้ว่า “เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต” และก็เหมาว่าสามารถมอบหมายธ.ก.ส. มาแจกเกษตรกรผ่านดิจิทัล วอลเล็ต วงเงิน 172,300 ล้านบาท ได้ ถือว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของธ.ก.ส. คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิต
สิ่งที่ต้องแนะนำนายเผ่าภูมิ ที่อ้างมาตรา 9(3) ของพ.ร.บ.ธ.ก.ส.ตามที่กล่าวนายเผ่าภูมิต้องอ่านกฎหมายมาตรานี้ให้ละเอียดครบถ้วน ทุกวรรค ทุกถ้อยคำ
โดยเฉพาะวรรคท้ายสุดของมาตรา 9 ที่เขียนว่า
“การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน......ให้กระทำได้เท่าที่กำหนดในกฎกระทรวง”
เมื่อไปเปิดอ่านกฎกระทรวงที่ออกมาปี 2550 เพื่อขยายมาตรา 9(3)(4) ของพ.ร.บ.ธ.ก.ส.ที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดรายละเอียดการใช้เงิน ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. ไว้ 3 ข้อ
คือ ข้อ 6 ข้อ 7 และข้อ 8 (กฎกระทรวง ปี 2550 ออกเพิ่มเติม จากกฏกระทรวงเดิมที่ออกในปี 2542 ที่มี 5 ข้อ ขยายวัตถุประสงค์ธ.ก.ส. ตามพ.ร.บ. มาตรา 9
(1)ข้อ (ข) (ค) (ง) และ 9(2)
โดยเฉพาะกฎกระทรวงข้อ 6 ซึ่งมาอธิบายมาตรา 9(3) ตามที่นายเผ่าภูมิอ้าง รายละอียดจะไม่ตรงกับสิ่งที่นายเผ่าภูมิเสนอ
แต่กฎกระทรวงมีความชัดเจน ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย นั่นคือ ประเด็นเรื่อง “เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต” มีการกำหนดรายละเอียดในกฎกระทรวงข้อ 6(3) ไว้ว่า
ข้อ 6(3) การส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน ในลักษณะดังต่อไปนี้
(ก) การศึกษา อบรม สัมมนา ดูงาน หรือฝึกงาน ในด้านการส่งเสริมอาชีพ หรือเพื่อการพัฒนาอาชีพ หรือเพื่อการศึกษาของบุคคลในครอบครัว
(ข) การจัดสวัสดิการขั้นพื้นฐานแก่การดำรงชีวิต
(ค) การจัดหา ปรับปรุง หรือซ่อมแซมที่อยู่อาศัย
(ง) การจัดหาปัจจัยอื่นที่จำเป็นในการดำรงชีวิต
ถ้าเราดูในประเด็นนี้ ดูเหมือนว่าข้อ 6(3)(ข) และ (ง) การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต พอที่จะใช้สีข้างถู ขอใช้เงินธ.ก.ส.ก็อาจจะก้ำกึ่ง เพราะอ้างเรื่องการดำรงชีวิต ซึ่งต้องตีความกันอีกหลายตลบ
แต่นายเผ่าภูมิต้องมาอ่านข้อ 8 ของกฎกระทรวงให้จบ
ข้อ 8 กำหนดว่า การให้กู้เงินตามข้อ 6 และข้อ 7 (ข้อ 7 เป็นเรื่องสหกรณ์) เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบของเงินที่ให้กู้ในแต่ละรอบปีบัญชี และมีหนี้เงินกู้คงเหลือไม่เกินร้อยละยี่สิบ ของหนี้เงินกู้ทั้งหมด ณ สิ้นปีบัญชี เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
ถ้านายเผ่าภูมิอ่านกฏกระทรวง ที่ขยายมาตรา 9(3)ของพ.ร.บ.ธ.ก.ส. ตามที่นายเผ่าภูมิตีความว่าใช้เงินธ.ก.ส.ได้ จะรับทราบเลยว่ากฎหมายมีเจตนาชัดเจน คือ เงินก้อนนี้ต้องเป็น “เงินกู้เท่านั้น”
ไม่ใช่มอบหมายให้ธ.ก.ส.มา “แจกเงินดิจิทัล” ใช้ซื้ออะไรก็ได้ จึงไม่ใช่วัตถุประสงค์ของธ.ก.ส.
ต้องย้ำว่า แม้จะเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต แต่กฎกระทรวงยังกำหนดว่า เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่าน “กลไกชุมชน” และต้องเป็น “เงินกู้เท่านั้น”
ดังนั้น การที่รัฐบาลจะมอบภารกิจให้ธ.ก.ส.มาแจกเป็นดิจิทัล วอลเล็ต วงเงิน 172,300 ล้านบาท จึงผิดทั้งมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 2561 เพราะไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของธ.ก.ส.
และยังผิดมาตรา 9 ของพ.ร.บ.ธ.ก.ส. ตามวัตถุประสงค์ของธ.ก.ส.อีกด้วย
สรุป ผมเชื่อว่าโครงการแจกเงินดิจิทัลไปไม่รอดครับ”
3. รู้ทันเงินดิจิทัลของเศรษฐา
นพ.วรงค์ได้ให้มุมมอง และข้อสังเกตที่น่าสนใจ ระบุว่า
“1.นายเศรษฐาน่าจะรู้ว่า ประชาชนต้องการเงินสด ทำไมต้องแปลงเป็นเงินดิจิทัล ทำแอปใหม่ให้เสียค่าใช้จ่าย และยุ่งยาก มีประโยชน์แอบแฝงหรือไม่
2.รัฐบาลใช้วิธีการศรีธนญชัยในการกู้เงิน แยกเป็นสามก้อน ใช้เงินธ.ก.ส. วงเงิน 172,300 ล้านบาท กู้ผ่านงบประมาณ ปี 2568 จำนวน 152,700ล้านบาท และใช้งบปี 2567 ที่เพิ่งผ่านสภา 175,000 ล้านบาท สรุปแล้วเป็นการกู้แบบศรีธนญชัย และให้ประชาชนใช้หนี้
3.การเริ่มต้น ที่ประชาชนจะใช้จ่ายรอบแรกต้องซื้อจาก ร้านค้าขนาดเล็กในอำเภอ แต่ที่ตลกมาก ร้านสะดวกซื้อตามปั๊ม หรือในอำเภอ ถือว่าเป็นร้านค้าขนาดเล็ก เข้าทางกิจการของนายทุนใหญ่
4.การขึ้นเป็นเงินสด เปลี่ยนเงื่อนไข จากเดิมที่ต้องรอ 6 เดือน แต่ใช้วิธีใหม่ คือเงินที่ใช้จ่ายรอบแรก ร้านค้าจะขึ้นเงินสดไม่ได้ ต้องไปใช้ต่อเป็นรอบที่สอง ถึงจะขึ้นเป็นเงินสดได้
5.ร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ ต้องเป็นการขาย จากเงินรอบสอง ซื้อโดยร้านค้าอื่น และอยู่ในระบบฐานภาษี ร้านขนาดเล็กตายอย่างเดียว
6.สรุปแล้ว ร้านค้าชาวบ้าน หาบเร่ แผงลอย ร้านค้าตลาดนัด ตลาดสด จะตายหมด ร้านสะดวกซื้อ ที่เชื่อมโยงกับรายใหญ่ มีแต่ได้ประโยชน์ เพราะสุดท้าย เงินจะไปกองที่นายทุนใหญ่ ซึ่งขึ้นเงินได้ทันที
7.อยากเตือนรัฐบาล อย่าคิดว่าการทุจริต จะไม่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการแลกเป็นเงินสด เรื่องแค่นี้ง่ายมาก สำหรับคนที่อยากจะโกง และโกงง่ายกว่าโครงการรับจำนำข้าว
8.การที่รัฐบาล จะออกเป็นเงินดิจิทัล ที่ไม่สามารถใช้หนี้ได้ ซื้อสินค้าไม่ได้อีกนับสิบรายการ น่าจะนำไปสู่ความวุ่นวาย ของระบบเงินตราของประเทศ ทำให้ประทศมีเงินตราสองระบบ และจะผิดพ.ร.บ.เงินตราหรือไม่ และนำไปสู่การแลกเป็นเงินสด ในราคาถูกๆ
9.การโยนภาระใช้เงินฝากของธ.ก.ส. รัฐบาลคิดว่ามันถูกต้องหรือ ถ้าประชาชนเขาไม่เชื่อมั่น มาแห่ถอนเงินจากธ.ก.ส. รัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร
10.ประชาชนจะรู้หรือไม่ มาตรการที่นายเศรษฐาออกมา กำลังกลายเป็นนโยบายเพื่อหาเสียง เอื้อนายทุนรายใหญ่ และกำลังจะฆ่าร้านค้ารายย่อย ด้วยข้ออ้างช่วยเหลือประชาชน ซึ่งไม่ต่างจาก โครงการรับจำนำข้าว ที่เอาชาวนามาอ้าง เพื่อหาเสียง แต่เอื้อนายทุนมาทุจริต”
4. โครงการนี้ หากจะไปต่อ แน่นอนว่า จะต้องแลกด้วยการถูกดำเนินคดีอาญาของนักการเมืองผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในปัจจุบัน
ขณะที่คนมุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองลอยตัว
ผลได้ของโครงการต่อระบบเศรษฐกิจ ยังเป็นที่กังขาว่าจะเป็นไปตามคำคุยโม้แค่ไหน (แน่นอนว่าทันทีที่แจก เศรษฐกิจก็จะคึกคัก เหมือนยาโด๊ป)
แต่ผลเสียทันที คือ การสร้างภาระหนี้ 5 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะชำระได้ในกี่ปี (หนี้จำนำข้าวยังเหลือค้างอยู่สองแสนกว่าล้านบาท)
ที่สำคัญ ต้นทุนค่าเสียโอกาส ต้นทุนความเสี่ยง ต้นทุนผลกระทบล้วนตกแก่ประเทศชาติส่วนรวมต่อไป
ถ้าจะไปต่อ ก็เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง และเอาประเทศไปเสี่ยง
ทั้งๆ ที่ อาจคิดหนทางกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการอื่นที่ใช้เงินน้อยกว่า และเกิดผลชัดเจน ตรงจุดมากกว่านี้ (เช่น คนละครึ่ง เป็นต้น)
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี