โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet)เป็นโครงการโคตรอันตราย
อันตรายสำหรับการเงินการคลังของประเทศชาติ
อันตรายสำหรับสภาพคล่องและฐานะการเงินของ ธ.ก.ส.
อันตรายสำหรับการติดคุกติดตะรางของข้าราชการที่จะสนองนโยบาย
1. เดิมทีเดียว พรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐา ทวีสิน หาเสียงไว้ว่าจะเติมเงินหมื่นบาทถ้วนหน้า โดยรัฐบาลไม่ต้องกู้เลยแม้แต่บาทเดียว
แต่หลังจากนั้น รัฐบาลเศรษฐาก็คิดอ่านจะออกกฎหมายเฉพาะ เพื่อกู้เงิน 5 แสนล้านบาท
มีคำเตือนจาก ป.ป.ช. กฤษฎีกา และอีกหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิ
แต่ในความเป็นจริง ถ้ารัฐบาลจะออกกฎหมายเพื่อกู้เงินจริงๆ ก็เป็นอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของรัฐบาลเอง ถ้าตั้งใจจะทำ คิดว่าทำได้ พร้อมรับผลที่ตามมา ก็ผลักดันออกกฎหมายกู้เงินได้เลย
ปรากฏว่า รัฐบาลเศรษฐาล้มเลิกข้อเสนอแนวทางเดิมนั้นเสีย
เลี่ยงไปหาแหล่งเงินมาทำโครงการจาก 3 ทาง
1.) ด้วยการเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ 2567 จำนวน 172,300 ล้านบาท
2.) ด้วยการขยายการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2568 เพิ่มจนเกือบชนเพดาน เพื่อเอางบมาทำโครงการนี้ 152,900 ล้านบาท
และ 3.) จะให้หน่วยงานรัฐ คือ ธ.ก.ส. ทำโครงการสนองนโยบายรัฐบาลด้วย ด้วยการนำเงิน 175,000 ล้านบาทมาแจกจ่ายตามแนวทางโครงการนี้
2. ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่า หากเดินตามกรอบแนวทางใหม่นี้ ก็ยังจะสร้างปัญหา ผลกระทบ และความเสี่ยง รวมถึงติดปมข้อกฎหมายหลายประการ จึงได้ทำหนังสือย้ำเตือนต่อ ครม. พร้อมข้อเสนอแนะทางเลือกเชิงนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเติมเงินให้กลุ่มเฉพาะ ใช้งบประมาณน้อยกว่านั้น
แต่ผู้ว่าการธปท. ก็ไม่มีอำนาจขวางการดำเนินงานของรัฐบาล หากรัฐบาลจะเดินหน้าต่อก็ย่อมได้ ตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบโดยปกติ
3. ล่าสุด อดีต รมช.คลัง สส.พรรคประชาธิปัตย์ นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มช. อดีตผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ อดีตประธานสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เคยทำงานที่แบงก์ชาติและไอเอ็มเอฟมาก่อน ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินลงวันที่ 26 เม.ย. 2567 ขอให้มีการตรวจสอบและให้คำแนะนำต่อรัฐบาล จากการมีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet)
เนื้อหาสาระสำคัญน่าสนใจ โดยสรุปใจความสาระสำคัญบางส่วน ดังนี้
“...มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นนี้ หากมีการนำไปปฏิบัติจะสร้างความเสียหายและผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังส่งผลต่อภาระทางการคลังของประเทศ ซึ่งเป็นที่เชื่อได้ว่าหากดำเนินโครงการดังกล่าวไปแล้ว อาจจะทำให้การใช้จ่ายเงินแผ่นดินในกรณีนี้ไม่เป็นไปตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง และทำให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐ โดยมีเหตุผลประการสำคัญ ดังนี้
1) การตัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 จำนวน 172,300 ล้านบาทจะมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบงบประมาณ ซึ่งล่าช้ามากว่าครึ่งค่อนปีแล้ว ทำให้เงินหมุนเวียนของรายจ่ายลดลง
วิธีการแบบนี้จะเป็นเสมือนหนึ่ง คนไข้ต้องการเลือด แทนที่หมอจะไปนำเลือดจากภายนอกมาฉีดให้ กลับสูบเลือดจากคนไข้เพื่อฉีดกลับเข้าไปใหม่ จึงไม่มีผลสุทธิในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่อ้างแต่ประการใด และยังมีความเสียหายจากความล่าช้าของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ทั้งที่หน่วยงานราชการต่างๆ เตรียมการเบิกจ่ายแล้วตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ
2) การขยายวงเงินขาดดุล 152,900 ล้านบาท และต้องก่อหนี้เงินกู้ทั้งจำนวนเพื่อมาใช้ ก็จะมีลักษณะเดียวกับข้อเสนอก่อนหน้าที่จะมีการตรา พ.ร.บ.กู้เงิน แต่ได้รับเสียงคัดค้านจึงต้องพับเรื่องการตรา พ.ร.บ. ออกไป
สำหรับวงเงินงบประมาณ พ.ศ. 2568 คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 อนุมัติตามที่ 4 หน่วยงานนำเสนอในการกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายไว้ 3,600,000 ล้านบาท ขาดดุล 713,000 ล้านบาทซึ่งเป็นอำนาจตาม มาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561
แต่จากการประชุมของ 4 หน่วยงานเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 ใช้เวลาเพียง 20 นาที จึงเป็นการรวบรัดเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีด้วยการให้ก่อหนี้เพิ่มเต็มจำนวนที่เพิ่ม จึงทำให้ต้องขาดดุลเพิ่มเป็น 865,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดดุลงบประมาณที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เท่าที่เคยมีการนำเสนอวงเงินงบประมาณของประเทศ จึงอาจส่งผลในทางการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีจำกัด เพราะรัฐบาลต้องไปออกพันธบัตรเพื่อระดมเงินจากระบบธนาคาร ทำให้วงเงินที่ธนาคารจะปล่อยให้กู้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจลดลง ดังนั้น สินเชื่อครัวเรือนและธุรกิจจะมีความฝืดเคืองมากขึ้น เพราะรัฐบาลดึงเงินในระบบออกไปใช้เป็นจำนวนมหาศาล
3) การยืมเงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 175,000 ล้านบาท จะมีผลทำให้ ธ.ก.ส.ไม่สามารถให้สินเชื่อแก่เกษตรกรตามภาระหน้าที่ของธ.ก.ส.ตามกฎหมาย
จากงบการเงิน ธ.ก.ส.ล่าสุดปรากฏว่า ธ.ก.ส.มีเงินสดเพียง 20,000 ล้านบาท หากจะให้รัฐบาลยืมเงิน จำนวน 175,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีปัญหาข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ ก็จะทำให้ ธ.ก.ส. ต้องเรียกคืนเงินสินเชื่อเกษตรกรและการลงทุนอื่นของธ.ก.ส. กลับมา ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรที่ถูกเรียกเงินคืน และจะไม่มีเงินสินเชื่อใหม่ให้แก่เกษตรกร อันจะเป็นการสร้างความเสียหายอย่างมากแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ ด้วยวิธีการหาแหล่งเงินใหม่ทั้งสามประการข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบเชิงลบ มากกว่าประโยชน์ที่รัฐบาลได้กล่าวอ้างว่าจะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศขยาย
ทั้งความเชื่อมั่นในระบบการเงินการคลังไทยที่เคยมีมาอาจจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย
ที่สำคัญคือ เงินจำนวนกว่า 500,000 ล้านบาท ที่จะจ่ายออกไปนั้น จะเป็นหนี้สาธารณะที่ชนรุ่นหลังต้องมาชดใช้พร้อมดอกเบี้ยเช่นเดียวกับความเสียหายจากโครงการจำนำข้าวที่ยังเป็นภาระของรัฐบาล และ ธ.ก.ส. นับแสนๆ ล้านบาทในปัจจุบัน
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงขอความอนุเคราะห์ให้ท่านและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบและให้คำแนะนำต่อรัฐบาล ในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet) ให้ถูกต้องและเกิดความคุ้มค่า ซึ่งจะเป็นการยับยั้งความเสียหายต่อไป อีกทั้งยังเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานท่าน ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 8 และมาตรา 27 (4) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561…”
นับเป็นการตอกย้ำ ถึงความสุ่มเสี่ยง และอันตรายจากการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อสนองนโยบายฝ่ายการเมือง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี