โครงการเติมเงินหมื่นเข้ากระเป๋าดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งจะต้องใช้เงินกว่า 5 แสนล้านบาทยังคงไม่มีอะไรคืบหน้า
นั่นเพราะจะต้องรองบประมาณปี’68 อย่างน้อยเดือนตุลาคม
แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็ยังคงใช้นโยบายนี้ในการสร้างความหวังให้กับประชาชนต่อไปเรื่อยๆ
1. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีปราศรัยที่จังหวัดร้อยเอ็ด
ทำทีถามชาวบ้านบนเวทีว่า “ใครรอเงิน ดิจิทัลวอลเล็ตอยู่บ้าง ปลายปีนี้แล้วที่เงินดิจิทัล จะออกมาแน่นอน เราทำเต็มที่แน่นอน”
2. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พยายามวาดภาพผลบวกจากการแจกเงินหมื่น
ระบุว่า เป็นนโยบายที่สร้างพายุหมุน 4 ลูกทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
พายุหมุนลูกแรก จาก ประชาชน สู่ร้านค้า : เมื่อประชาชนซื้อสินค้าในร้านค้าเกิดธุรกรรมหมื่นล้านครั้ง ในรอบแรก ภายใต้ 2 เงื่อนไขคือใช้เงินภายใน 6 เดือน และใช้ในอำเภอตามบัตรประชาชน เม็ดเงินจะถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และจะกระจายตัวในทุกหมู่บ้าน อำเภอ ตำบล ร้านค้า และตลาด เกิดพายุหมุนลูกแรกภายใน 878 อำเภอ ทั่วประเทศพร้อมๆ กัน
พายุหมุนลูกที่ 2 จากร้านค้าสู่ร้านค้า : พ่อค้ารายย่อย ยังไม่สามารถขึ้นเงินได้ทันที ต้องนำไปใช้อีก 1 รอบ การสร้างเงื่อนไขนี้ ต้องการสร้างพายุหมุนขนาดใหญ่อีก 1 ครั้ง กระแทกเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งในรอบนี้ระหว่างร้านค้ากับร้านค้าสามารถใช้ได้กับทุกร้านค้าทั่วประเทศ ทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ สามารถใช้ข้ามจังหวัดข้ามภาคได้
พายุหมุนลูกที่ 3 จากร้านค้าสู่ภาคการผลิต : ประชาชนเดินเข้าไปซื้อของในร้านค้า เกิดการผลิตเกิดการจ้างงาน เช่น ประชาชนซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อซื้อกล้วยตาก 1 ถุง กล้วยตาก 1 ถุงไม่ได้เกิดขึ้นจากการเสกขึ้นมา แต่เกิดขึ้นจากการผลิตมีกระบวนการผลิต ในกล้วยตาก 1 ถุง ประกอบด้วยกล้วยที่ต้องผลิตเพิ่มขึ้นการผลิตพืช คือรายได้ของชาวสวนที่มีเพิ่มขึ้น คือปลายทาง กล้วยตากต้องมีบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตในโรงงาน ต้องจ้างแรงงาน คือ รายได้ของแรงงานที่จะเพิ่มขึ้นรายได้ของชาวสวนและรายงานเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น ก็จะนำกลับไปซื้อสินค้าอีกครั้งในระบบเศรษฐกิจอีก 1 รอบเกิดพายุหมุนรอบที่ 3 เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ และจะเกิดเช่นนี้หลายรอบ เกิดการหมุนเม็ดเงินทางเศรษฐกิจ
พายุหมุนลูกที่ 4 พายุของด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล วอลเล็ต คือการกระจายเงินผ่านเทคโนโลยีขั้นสูง ผ่านระบบชำระเงินที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ผ่านแอปพลิเคชันเป็นสถาปัตยกรรมที่ประชาชนยืนยันตัวตนและพุ่งเข้าสู่ซุปเปอร์แอปพลิเคชันที่ถูกสร้างขึ้นใหม่และสามารถต่อยอดได้ในอนาคต สามารถเชื่อมต่อกับธนาคารต่างๆ ที่เข้าร่วมได้
“พายุทั้ง 4 ลูก รวมเป็นพายุหมุนลูกใหญ่ กระแทกไปในระบบเศรษฐกิจ ปลุกระบบเศรษฐกิจไทย ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทยให้กลับขึ้นมาแข็งแรงอีกครั้ง และนี่คือ ดิจิทัล วอลเล็ต นโยบายจากพรรคเพื่อไทย สู่นโยบายของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของประชาชน” เผ่าภูมิ รมช.คลัง กล่าว
3. ในมุมนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมาก มองว่า โครงการที่ใช้เงินมหาศาลนี้ อาจไม่คุ้มค่า สุ่มเสี่ยงทางการคลัง
ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงความกังวลต่อการดำเนินนโยบายเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่าน ดิจิทัล วอลเล็ต ของรัฐบาล
ระบุว่า ค่อนข้างมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์การคลังของไทยหลังจากนั้น เพราะหากไม่สามารถออกแบบให้เกิดการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้ จะยิ่งทำให้งบประมาณของประเทศอยู่ในสภาวะขาดดุลสูงอย่างต่อเนื่อง และนำมาสู่ความอ่อนแอของวินัยการคลัง ที่อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ
เนื่องจากนโยบายเงินดิจิทัล วอลเล็ ตจำเป็นต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากซึ่งรัฐบาลไม่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า และล่าสุดจากการเปิดเผยว่าจะมีการนำงบประมาณมาจาก 3 ส่วน เพื่อใช้สำหรับดำเนินการ ที่ประกอบด้วย 1.งบประมาณ ปี 2567 จำนวน 1.75 แสนล้านบาท 2.งบประมาณ ปี 2568 จำนวน 1.52 แสนล้านบาท และ 3.การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ ซึ่งตามที่รัฐบาลระบุก็คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 1.72แสนล้านบาทนั้น ล้วนส่งผลกระทบต่อการคลังของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนที่มาจากงบประมาณปี 2567 ก็ต้องดูว่าทางรัฐบาลมีการดึงงบประมาณจากส่วนไหนมาบ้าง ซึ่งอาจจะไปเบียดบังงบประมาณเดิมที่จริงๆ แล้วมีการจัดสรรไว้เพื่อดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นต่างๆ เหล่านั้นให้น้อยลง นอกจากนั้น โครงการดังกล่าวอาจเกิดผลกระทบเบียดออก (Crowding out effect) ทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น จากการเร่งระดมทรัพยากรการเงินของภาครัฐ
ในส่วนงบประมาณปี 2568 ที่เป็นการขยายวงเงินงบประมาณรายจ่ายขณะที่ประมาณการรายได้ยังคงเดิม ทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ก็ต้องมีการกู้เงินเพิ่มขึ้น จะไปซ้ำเติมภาระทางการคลังที่มีอยู่แล้ว จากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลมาเกือบ 30 ปีให้มีความมากขึ้นไปอีก
ส่วนก้อนสุดท้ายจาก ธ.ก.ส. ที่จะอิงกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561ในมาตรา 28 ที่ระบุไว้ว่ารัฐบาลสามารถมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐ เช่น ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ดำเนินกิจกรรมมาตรการหรือโครงการได้ โดยรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการนั้นให้ในภายหลัง ซึ่งที่ผ่านมาโครงการที่ใช้จ่ายตามมาตรา 28 นี้ก็มีค่อนข้างมากอยู่แล้ว และมีหนี้ที่เป็นภาระผูกพันสูงมากด้วย
ดังนั้น ถ้ามีการนำไปใช้เพิ่มจากโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตผ่าน ธ.ก.ส. อีก อาจจะทำให้ภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่าย แตะหรือเกินเพดานที่กำหนดไว้ว่า ภาระที่รัฐต้องชดเชยดังกล่าว ต้องมียอดคงค้างทั้งหมดรวมกันไม่เกิน 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และหนี้ที่เป็นภาระผูกพันที่รัฐบาลต้องจ่ายชดเชยแก่ ธ.ก.ส. จะสูงกว่า 8 แสนล้านบาท ซึ่งอาจทำให้หลายโครงการที่เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรหรือผู้มีรายได้น้อย ที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ผ่านหน่วยงานของรัฐ ถูกชะลอไปก่อนด้วย
นอกจากนี้ การดำเนินโครงการเงินดิจิทัล วอลเล็ต ยังอาจทำให้หนี้สาธารณะคงค้างในอนาคตของไทยพุ่งเกินกรอบวินัยการเงินการคลัง
คือ เกินกว่า 70% ของ GDP
ข้อมูลล่าสุดเมื่อ 30 ก.ย. 2566 หนี้สาธารณะคงค้างอยู่ที่ 11.13 ล้านล้านบาทแล้ว หรือ คิดเป็น 62.44% ของ GDP
หลังการดำเนินโครงการเงินดิจิทัล วอลเล็ต สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะไปที่ประมาณ 67% ของ GDP เข้าใกล้เพดาน 70%
ถ้าไปถึงจุดนั้น ก็จะกระทบต่อวินัยทางการคลังของรัฐบาลที่ต้องชำระหนี้ในระยะยาว
ประการสำคัญ ปัจจุบันรัฐบาลยังไม่สามารถหาเม็ดเงินจากรายได้เพิ่มเติมที่มีนัยสำคัญเพียงพอที่จะสามารถนำไปใช้หนี้เงินกู้ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้
นอกจากนั้น ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลมีแผนหรือนโยบายที่ชัดเจน สำหรับการทำให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพ และลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณ หรือที่ไม่จำเป็นลง
Worst-case scenario ที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้ คือ หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในระยะอันใกล้นี้ จะทำให้งบประมาณของประเทศมีความตึงตัวมากเพราะไม่รู้ว่าจะสามารถกู้เพิ่มได้อีกแค่ไหน เพราะช่วงโควิดไทยเราก็ไปขยายกรอบวินัยการเงินการคลังแล้วรอบหนึ่ง ให้สามารถมีหนี้สาธารณะได้มากถึง 70% ของ GDP ฉะนั้น ถ้าเกิดวิกฤตอีกจะไปเพิ่มแรงกดดันในเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่วิกฤตฉุกเฉินจริงๆ เช่น วิกฤตที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคต่างๆ ที่ขยายวงกว้างมากขึ้น ความผันผวนของตลาดการเงินโลก หรือโรคระบาดเกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็นต้น
ผศ.ดร.ดวงมณี เสนอแนะเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลยืนยันจะให้มีโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ก็อยากจะฝากรัฐบาลให้คำนึงถึงประเด็นต่างๆ ได้แก่
1.เน้นร้านค้ารายย่อยในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินในเศรษฐกิจท้องถิ่น ดังนั้น การกำหนดว่า ร้านค้าประเภทไหนเป็นร้านค้ารายย่อยจึงเป็นประเด็นสำคัญ
2.ข้อกำหนดต่างๆ และเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ ต้องทำให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยและร้านค้ารายย่อยสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่เป็นอุปสรรคในการเข้าโครงการ
3.สินค้าที่อยู่ในโครงการควรเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศ
และ 4. ปลายทางเม็ดเงินควรมีการกระจายให้อยู่ที่ประชาชนในระดับล่าง ไม่กระจุกอยู่กับกลุ่มที่มีความมั่งคั่งอยู่แล้ว ซึ่งจะได้ไม่ไปซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้นไปอีก
4.รัฐบาลพึงสำเหนียกว่า บ้านเมืองไม่ใช่สนามเด็กเล่น
ไม่ใช่ที่ฝึกงาน หรือห้องทดลองสร้างพายุหมุน
ซึ่งไม่แน่ว่าจะเป็นพายุหมุน หรือลมบ้าหมู
แต่แท้จริง มันคือการผลักการเงินการคลังของประเทศไปอยู่บนปากเหว
การพยายามโจมตีแบงก์ชาติในวันนี้ เหมือนกำลังพยายามหาแพะรับบาป หรือโยนหินถามทางว่าจะเข้าปล้นปราการด่านสุดท้ายของคลังหลวงแผ่นดิน?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี