แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...
■■ การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมีพอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการ และใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชาเมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจชั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป... (ความตอนหนึ่งจากพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น 20 ธันวาคม 2516)...
■■ และแล้วรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดเศรษฐา ทวีสิน 2 หรือเศรษฐา 2 ก็ลงตัวเสียที หลังจากพลิกไปพลิกมาหลายตลบ กลับมากลับไปหลายหน เพราะมีการวิ่งเต้นต่อรองและยื่นหมูยื่นแมวกันไปกันมากหลายครั้ง สุดท้ายก็ออกมาว่ามีรัฐมนตรีใหม่ป้ายแดงออกมา 6 คน คือ พิชัย ชุณหวชิร จะไปนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผ่าภูมิ โรจนสกุล นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พิชิต ชื่นบาน นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จิราพร สินธุไพร นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยทั้งสี่รายนี้มาจากพรรคเพื่อไทย...
■■ ส่วนรัฐมนตรีใหม่จากพรรคพลังประชารัฐคือ อรรถกร ศิริลัทธยากร นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอีกหนึ่งรายเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานสมัยรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา มาบัดนี้ยอมลดขั้นไปนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ คือ สุชาติ ชมกลิ่น จากพรรครวมไทยสร้างชาติ...
■■ ปุ๋ง-สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ถูกโยกจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดยโยก เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ไปนั่งเก้าอี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ แทน...
■■ มีคำถามว่าทำไม สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ลูกสาวเสี่ยป้อ เสี่ยแป้งมันคนดังผู้ยิ่งใหญ่ของโคราชบุรีจึงถูกโยกได้ ทั้งๆ ที่ดูเสมือนว่ามีนักธุรกิจใหญ่ที่ทำกิจการด้านขนส่งมวลชนระบบรางไปเจรจากับเจ้าของพรรคเพื่อไทยแล้ว แล้วก็ดูเสมือนว่าสุดาวรรณน่าจะยังคงนั่งต่อบนเก้าอี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ แต่แล้วสุดท้ายก็กระเด็นตกเก้าอี้ไปอย่างที่ทำให้ต้องปวดใจทั้งตัวของ สุดาวรรณ และตัวของเสี่ยป้อเจ้าพ่อแป้งมันโคราช...
■■ บอกได้คำเดียวสั้นๆ แต่ตรงประเด็นว่า การปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีในครั้งนี้โดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทยเป็นการตัดสินใจของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เป็นสำคัญ ส่วนเศรษฐานั้นก็ได้แค่มองตาปริบๆ แล้วก็ทำตามคำสั่งเจ้าของพรรคเพื่อไทยต่อไป โดยเศรษฐาจะยังคงนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแล้วก็บินไปโน่น บินไปนี่ บินไปนั่นตลอดเวลาเหมือนเดิม แล้วก็คงเป็นนายกรัฐมนตรีที่เน้นการบินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพ้นจากตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารของประเทศ...
■■ พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเป็นฝ่ายค้านต่อไป เมื่อประชาธิปัตย์ไม่ได้ถูกเชิญไปเป็นรัฐบาล ก็คงจะต้องแสดงฝีปากในการอภิปรายรัฐบาลให้หนักขึ้น และต้องหนักกว่าเดิม เพราะตอนแรกก็นึกกันไปว่าประชาธิปัตย์อาจจะได้เป็นรัฐบาลกับเขาด้วย แต่สุดท้ายนักโทษชายทักษิณคงจะดีดลูกคิดรางแก้วเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ฟันธงลงมาว่ายังไม่เอาเข้าร่วมรัฐบาล เพราะถ้าเอาประชาธิปัตย์เข้ามาก็อาจจะต้องดีดพรรครวมไทยสร้างชาติออกไปแต่จำนวน สส.ของประชาธิปัตย์ก็น้อยนิดไม่เทียบเท่ารวมไทยสร้างชาติ ทั้งนี้คอการเมืองบอกตรงกันว่านักโทษชายทักษิณยังไม่สนิทใจมากนักกับประชาธิปัตย์ ต่อให้สส.ประชาธิปัตย์สายปักษ์ใต้กลุ่มหนึ่งอยากจะร่วมเป็นรัฐบาลแบบใจจะขาดก็ตาม...
■■ เมื่อรัฐบาลเศรษฐา 2 เข้าทำหน้าที่บริหารประเทศ หลังจากได้รับพระบรมราชโองการเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักโทษชายทักษิณต่อไป เพราะเขายังมีพันธกิจสำคัญคือ ทำตัวเองให้รอดพ้นจากคุกและทุกคดีที่ยังหลงเหลือ แล้วยังต้องทำหน้าที่นายแบก โดยต้องแบกเอายิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล้บเข้าประเทศไทยแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว แล้วยังต้องแบกแล้วลากดันหนุนส่งให้อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้จงได้ โดยต้องทำให้สำเร็จภายในช่วงเวลาที่เหลืออีก 3 ปีเศษๆ ตามอายุของรัฐบาลปัจจุบัน นั่นหมายความว่าเมื่อถึงเวลาก็ดีดเศรษฐาออกไปจากเก้าอี้นายกฯ แล้วดันให้อุ๊งอิ๊งขึ้นไปนั่งแทน แต่การส่งอุ๊งอิ๊งไปเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยิ่งกว่าเข็นครกหินลูกใหญ่ๆ พร้อมๆ กัน 10 ลูกขึ้นภูเขา เพราะความสามารถของอุ๊งอิ๊งมีจำกัดมากๆๆๆ...
■■ เปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นนอกจากการเมืองบ้าง มีเรื่องเล่าสู่กันฟังในเชิงร้องเรียนเล็กน้อยคือ ในวงวิชาการมีเสียงบ่นมาจากนักวิจัยสายสาธารณสุขศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีข้อมูลว่านักวิจัยถูกธนาคารชื่อดังมากแห่งหนึ่งเท (เทในที่นี้เป็นภาษาวัยรุ่นยุคนี้ คือไม่ให้งบสนับสนุนการวิจัย) ทั้งๆ ที่เบื้องต้น ธนาคารแห่งนั้นตามทวงงานวิจัยจากนักวิจัยตลอดเวลาทำให้นักวิจัยต้องออกเงินเพื่อทำวิจัยไปก่อน แต่สุดท้ายธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งนั้นบอกว่า ไม่สนใจงานวิจัยชิ้นนั้นแล้ว แล้วก็ไม่ยอมจ่ายเงินค่าวิจัยที่นักวิจัย (จริงๆ คืออาจารย์) จ่ายออกไปก่อน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นระยะ แต่ก็ไม่เห็นว่ามหาวิทยาลัยต้นสังกัด และคณะต้นสังกัดที่นักวิจัย และอาจารย์สังกัดอยู่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาแต่ประการใด เรื่องนี้อันที่จริงจะโทษนักวิจัยก็คงได้ เพราะว่าดูเสมือนส่งงานช้า จนถูกตามทวงแต่หากมองอีกมุมหนึ่งก็ต้องโทษธนาคารด้วย เพราะดีแต่ทวงงานแต่ไม่จ่ายเงินค่าวิจัย หากเกิดปัญหาทำนองนี้บ่อยๆ ก็จะส่งผลให้นักวิจัยไม่กล้าทำวิจัยต่อไป หรือไม่มีแรงสนับสนุนให้ทำวิจัยต่อไป แล้วประเทศไทยก็จะตกอยู่ในวังวนไม่มีงานวิจัยดีๆ สำหรับประเทศชาติและประชาชน...
■■ ไหนๆ พูดถึงเรื่องจุฬาฯแล้ว ก็ขอตั้งข้อสังเกตในเรื่องที่มีเว็บไซต์ประชาไทวิจารณ์ว่าหลักสูตรนานาชาติ (International Programme) ของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีปัญหา โดยระบุชื่อ programme ที่มีปัญหาชัดเจนคือ Politics and Global Studies โดยวิจารณ์ว่าผู้บรรยาย (lecturer) บางวิชางดสอนบ่อยมาก ทั้งๆ ที่ต้องจ่ายค่าเรียนเทอมละประมาณ 1 แสนบาทแถมระบุชัดเจนว่าผู้บรรยายที่งดสอนคือผู้บริหารบางคนของคณะรัฐศาสตร์ แต่ที่น่าสังเวชหนักคือมีการฟ้องว่าคนบรรยายบางรายวิชาแสดงความปัญญาอ่อนให้นิสิตได้เห็นคือการบอกก้บนิสิตว่า “ผมรู้ว่าพวกคุณจ่ายค่าเทอมแพงมาก แต่อย่าคาดหวังอะไรจากผมมากนัก”...
■■ อ้าว เฮ้ย! ทำไมคนบรรยายจึงพูดสิ่งที่โง่เขลาได้ถึงเพียงนี้ หากรู้ตัวเองว่าไม่มีปัญญาสอน เพราะสติปัญญาไม่ถึงระดับ ก็ลาออกไปสิคุณแต่ก็อยากจะถามกลับไปด้วยว่า แล้วคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ recruit เอาเฉพาะคนไร้ปัญญาเข้าไปเป็นผู้บรรยายหรืออย่างไร ขอบอกว่าเรื่องนี้สำคัญมากต่อชื่อเสียง เกียรติภูมิ และความน่าเชื่อถือของจุฬาฯ หากจุฬาฯ มีผู้บรรยายที่ไร้สมองสิ้นปัญญา ก็ต้องถามว่าใคร recruit ตนไร้ปัญญาเข้าไปเป็นผู้บรรยาย ขอย้ำอีกทีว่านี่คือปัญหาใหญ่ของจุฬาฯ ที่ผู้บริหารจุฬาฯ หมายถึงอธิการบดีของจุฬาฯ และคณบดีรัฐศาสตร์ ต้อง take action โดยฉับพลัน ก่อนที่ชื่อเสียงและเกียรติภูมิจุฬาฯ จะมลายสูญสิ้นไป...
■■ อ้อ! มีอีกเรื่องหนึ่งคือ ทำไมนิสิตจุฬาฯ บางคนในยุคนี้จึงแต่งกายไปเรียนหนังสือได้ต่ำตมมาก บางรายแต่งกายได้ราวกับคนไร้การศึกษามีบางคณะปล่อยให้นิสิตสวมกางเกงขาสั้นเข้าไปฟังคำบรรยายได้ถามจริงๆ เถอะนิสิตจุฬาฯ บางกลุ่มบางพวกในยุคนี้ แต่งตัวกันแบบนี้หรือ ไม่เคารพสถานที่ ไม่เคารพตัวเอง ไม่เคารพครูบาอาจารย์ ไม่เกรงใจเพื่อนๆ กันบ้างเลยหรือ ขอร้องเถอะอย่าอ้างว่าแต่งตัวอย่างไรก็ได้ เพราะสมองไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแต่งตัว แต่ต้องบอกว่าคนที่สมองไร้ปัญญาจะแต่งตัวโดยไม่เคารพสถานที่ และไม่ดูกาลเทศะ หากคิดว่าการแต่งเครื่องแบบนิสิตมันเป็นปัญหาใหญ่มากกับชีวิต ก็ไม่ควรจะเลือกสอบเข้าไปเรียนต่อที่จุฬาฯ แต่ต้องไปเรียนที่อื่น ซึ่งเขาอาจอนุญาตให้นุ่งกางเกงแพร ชุดนอน pajamas หรือ swimming suit เข้าไปเรียนในวิชา lecture ได้ ต้องบอกตรงๆ ว่าเรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับการที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะเคร่งครัดกับกฎระเบียบของสถานศึกษาหรือไม่ หากผู้บริหารลอยๆ เลื่อนๆ ไร้หลักการปราศจากหลักเกณฑ์ นิสิตก็จะเละเทะ คนสอนหนังสือก็จะไร้สติสิ้นปัญญา แล้วในที่สุดมหาวิทยาลัยก็จะถึงกาลอวสาน...■■
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี