สถานะของรัฐกัมพูชา กำลังจะกลายเป็นรัฐคู่พิพาทของไทย
เพราะผู้นำรัฐบาลกัมพูชา ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา กล่าวโจมตี และออกแถลงการณ์ให้ร้ายประเทศไทยอย่างร้ายแรง
หาว่าไทยรุกราน
ใส่ร้ายว่าทหารไทยยิงก่อน
ประกาศจะฟ้องศาลโลก เอาพื้นที่บางส่วนของไทย โดยมีมติสภากัมพูชาสนับสนุนการดำเนินการด้วยเสียงเอกฉันท์
ข่มขู่ประเทศไทยว่าถ้าไม่ไปศาลโลก ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเป็นเหมือนกาซา
ระดมกำลังทหาร พร้อมอาวุธหนัก ประชิดชายแดน ลักษณะพร้อมคุกคามตลอดเวลา ฯลฯ
แต่รัฐบาลไทย นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ ลูกสาวทักษิณ เพื่อนเกลอสมเด็จฮุนเซน ยังไม่มีทีท่าขยับกดดันฝ่ายกัมพูชา
ไม่มีแม้แต่จะป้องปราม หรือประณามตอบโต้ฝ่ายกัมพูชา !!!
1. เมื่อวานนี้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา ในพื้นที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
ระบุว่า ตนเองเน้นย้ำความเป็นหนึ่งเดียวกัน ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่คนไทยทุกคนต้องรักและสามัคคีกัน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ประเด็นของการเมืองภายในประเทศที่จะต้องมีการแบ่งฝ่ายว่า “ฝ่ายรัฐบาลทำงานดีหรือไม่ดี ทหารทำงานดีหรือไม่ดี” แต่ทุกคนต้องช่วยกัน
ยืนยันว่า รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ในการรักษาอธิปไตยของประเทศไทยไว้ โดยรัฐบาลและทหารได้มีการพูดคุยหารืออยู่ตลอดเวลาว่าจะไปในทิศทางใดและอย่างไร รวมถึงความปลอดภัยได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว หากเกิดการปะทะ สถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น แม้ประเทศไทยจะใช้สันติวิธี แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ผิดคาด ก็พร้อมที่รับมือกับสถานการณ์ทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเลือกสันติวิธีเพราะไม่ต้องการให้มีการปะทะ ไม่ต้องการให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อไม่ว่าจะเป็นคนของประเทศไหน
“เครื่องมือและอุปกรณ์มีความพร้อม แต่พร้อมที่พูดคุยได้ในทุกระดับ ซึ่งวันนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะมีการเดินลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ Joint Boundary Committee (JBC) ไทย-กัมพูชา ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568” นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์กล่าว
2. รัฐบาลออกแถลงการณ์ชี้แจง กรณีไทย-กัมพูชา
เนื้อหา ไม่มีการประณามฝ่ายกัมพูชา ที่มีพฤติกรรมใส่ร้าย กล่าวหา ข่มขู่คุกคามประชาชนคนไทยและประเทศไทย
โดยเนื้อหาแถลงการณ์พยายามเน้นว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและคุ้มครองบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างเต็มที่ โดยยึดหลักการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีสอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม
ย้ำว่า “ประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชา มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธีบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงต่างๆ เช่น MOU 2543 และข้อมูลหลักฐานต่างๆ รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม และไทยพร้อมที่จะเจรจากับฝ่ายกัมพูชาผ่านกลไกระดับทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกัน เช่น
- JBC (การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม)ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU 2543 เพื่อหารือเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี ซึ่งขณะนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ตอบรับตามคำขอ ของฝ่ายไทยที่จะจัดขึ้น (ในวาระที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ) ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชา
- GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา)ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ RBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค)ซึ่งเป็นกลไกระดับแม่ทัพภาค ซึ่งทั้ง GBC และ RBC มีหน้าที่หลักในการดูแลสถานการณ์ชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อยนอกจากนี้ รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันที่จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ...”
เนื้อหา ไม่มีการประณามฝ่ายกัมพูชา ที่มีพฤติกรรมใส่ร้าย กล่าวหาข่มขู่คุกคามประชาชนคนไทยและประเทศไทย
3. คุณคำนูณ สิทธิสมาน อ่านแถลงการณ์ครั้งแรกอย่างเป็นทางการของรัฐบาลไทยต่อกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว ถึงกับบอกว่า
“การปกป้องอธิปไตยของชาติไม่ต้องนั่งพับเพียบกระมิดกระเมี้ยนพูดอ้อมๆ ให้ต้องตีความ”
“...ควรกล่าวให้ชัดเจนว่าหนทางแก้ปัญหานั้น ก่อนอื่น กองกำลังฝ่ายกัมพูชาจะต้องถอนออกจากพื้นที่ฝ่ายไทย หรือจะเขียนโดยนัยให้อ้อมกว่านี้ทำนองว่ากองกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องประจำอยู่แต่ในพื้นที่ของฝ่ายตนที่เคยยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างเคร่งครัด ก็ได้ ไม่ว่ากัน โดยควรจะแทรกไว้ก่อนย่อหน้าที่ 1 หน้า 2
...ในย่อหน้าที่ 1 หน้า 2 ได้พูดถึงการที่กัมพูชามีดำริจะใช้กลไกของศาล หรือฝ่ายที่ 3 ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นศาลโลก หรือ ICJ นั้น ไม่ได้พูดตรงไปตรงมาให้ชัดเจนสิ้นสงสัยไปเลยว่าไทยไม่ยอมรับ โดยพูดเพียงว่าไทยมุ่งแก้ปัญหาแบบทวิภาคีตามกลไก MOU 2543 ผ่านคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ระดับต่าง ๆ คือ JBC, GBC และ RBC ซึ่งก็อาจตีความแบบเข้าข้างคนเขียนแถลงการณ์ว่าเป็นการทำให้เข้าใจโดยนัยได้ว่าไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก
ในประการนี้ ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า ไม่ชัดเจนเพียงพอ
กัมพูชาเล่นใหญ่จัดหนักว่าจะฟ้องศาลโลก ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐสภา ผู้นำตัวจริงของเขาอาศัยเวทีวุฒิสภาข่มขู่ ท้าทาย และปรามาส ปรากฏชัดเจนไปทั่วโลก
คำตอบของรัฐบาลไทยในประเด็นนี้ควรหรือที่จะใช้ท่าทีลีลาแบบให้ต้องตีความ...”
4. เล่ห์กลเกมของกัมพูชา กับข้อมูลที่คนไทยควรรู้
พลตรีวันชนะ สวัสดี ได้เผยไต๋ฝ่ายกัมพูชาแบบรู้เท่ากัน
เปิดเผยข้อมูลว่า ระบุว่า ตั้งแต่ปี’43 เขมรทำผิดละเมิด MOU มาแล้ว 470 ครั้ง
“....... ผู้นำกัมพูชาได้ออกมากล่าวว่า จะให้คณะกรรมการ JBC เตรียมการเพื่อนำเรื่องขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) อย่างน้อย 3 พื้นที่ คือ ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาควาย (ห่างจากปราสาทตาเมือนไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 10 กม.) และช่องบก แต่เรื่องนี้สำหรับกัมพูชา ไม่ง่าย…
ประการแรก หลักการของตามธรรมนูญศาลโลกที่สำคัญข้อหนึ่งคือ “รัฐคู่พิพาท” จะต้องตกลงยินยอมที่จะเสนอข้อพิพาทดังกล่าวให้ศาลโลกพิจารณา หรือ เมื่อรัฐมีคำประกาศ (Declaration) ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลกในลักษณะบังคับโดยไม่ต้องมีความตกลงพิเศษกับรัฐอื่นใดซึ่งยอมรับพันธกรณีในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอย่างหลังนี่กัมพูชาเขายอมรับเขตอำนาจศาลโลก แต่ของไทยเราได้ยกเลิกคำประกาศนี้ไปตั้งแต่ปี 2503 แล้ว (แต่ที่ศาลโลกตัดสินเมื่อปี 2505 เป็นเพราะไทยเคยยอมรับเขตอำนาจศาลไปก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะยกเลิกในปี 2503) ดังนั้น หากกัมพูชานำเรื่องนี้ขึ้นศาลโลก ไทยเราก็ไม่จำเป็นต้องให้ความยินยอมต่อศาลโลก
ประการที่สอง แต่ถ้าสมมุติว่า เรายินยอมที่จะให้ศาลโลกพิจารณา (แต่คิดว่าคงไม่อยู่แล้ว) ครั้งนี้ถ้ากัมพูชาคิดจะเคลม บอกเลยว่า ยากกว่ากรณีของปราสาทพระวิหาร ในปี 2505 เพราะทั้ง 3 พื้นที่ เรามีหลักฐานการอ้างสิทธิ์ชัดเจน ว่าเป็นของไทยเรา อย่างปราสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร มาตั้งแต่ปี 2478 อย่างนี้กัมพูชาก็หาหลักฐานมาเคลมยาก ส่วนพื้นที่ช่องบกศาลาตรีมุข ที่ทหารทั้ง 3 ชาติ (ไทย ลาว กัมพูชา) สร้างไว้ตรงย่านกลางสามเหลี่ยมมรกต มาตั้งแต่ปี 2536 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพใช้เป็นสถานที่พบปะกันทั้ง 3 ประเทศ (หลังคาแต่ละมุขของศาลา หันไปทางประเทศของตน) ทีนี้รู้ก็พอจะเดาได้ว่าคนที่เขาเผา เขาเผาทำไม !!
ประการที่สาม หากกัมพูชาจะร้องขอให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็อยู่ที่ศาลว่าจะตัดสินอย่างไร สมมุติว่าตัดสินให้ทุกคนถอยออก ก็จะเป็นเหมือนฉากทัศน์ที่ 2 แต่ละฝ่ายคุมเชิงกันต่อไป เราก็ต้องระวังอย่าให้เขากระแซะเข้ามาอีก
......
...ความต้องการของ ขแมร์ คือ ต้องการให้การหารือในระดับ JBC ล้มเหลว มีการใช้กำลังทหาร หรือมีการปะทะก่อนคุย JBC เพื่อขยายไปศาลโลก
ความเป็นไปได้ ผลกระทบ - ก็มีความเป็นไปได้สูง โดยฝ่ายกัมพูชาก็จะอ้างว่าเขาถูกโจมตีก่อน (ทั้งๆ ที่เขาโจมตีไทยเราก่อน) เสร็จแล้ว ก็จะไปอ้างต่อศาลโลก
แต่จะมีความต่างออกไป นั่นคือมีการรบปะทะ ซึ่งอาจไม่ใช่แค่ในพื้นที่ช่องบกช่องเดียว แต่รวมไปถึงปราสาทตาเมือน และปราสาทตาควายด้วย ส่วนพื้นที่พระวิหาร คาดว่าจะไม่มีการปะทะ เพราะในปัจจุบันกัมพูชาถือครองตัวปราสาท ตามคำตัดสินของศาลโลก เมื่อปี 2556 (ร้องเมื่อปี 2554 ซึ่งเกี่ยวโยงกับคำตัดสินเมื่อปี 2505 ไทยเราเลยต้องรับอำนาจศาล ตามที่อธิบายมาแล้ว) และในพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ไทยเราก็ไม่ได้นำกำลังเข้าไป ดังนั้น ในพื้นที่นี้ กัมพูชาอ้างเหตุหาความชอบธรรมยาก เพราะเราทำตามกติกา ตามคำตัดสินศาลโลกทุกประการ
ส่วนมีการปะทะกันก่อน JBC ก็คือปรากฏการณ์ความเสี่ยงที่เหนือความคาดหมาย (Black Swan) สำหรับฝ่ายการเมือง (แต่ไม่เหนือความคาดหมายสำหรับฝ่ายทหาร)
หากสมมุติว่า กัมพูชาใช้การกำหนดวันประชุม JBC เป็นตัวประวิงเวลา เบี่ยงเบนความสนใจ
ในขณะเดียวกัน ก็เตรียมความพร้อมเพื่อโจมตีฝ่ายไทย ในขณะที่เราไม่พร้อม (ในมุมของกัมพูชา) แล้วก็ดึงเข้าสู่ศาลโลก
จะเห็นได้ว่า ฝ่ายกัมพูชาพึงประสงค์ที่สุด คือ พยายามทำให้เรื่องนี้ ซึ่งควรจบได้ในระดับทวิภาคี ถูกขยายตัวออกไป โดยดึงตัวแสดงอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยว
ส่วนหนึ่งก็เพื่อหวังดินแดนที่จะอ้างสิทธิ์
และอีกส่วนหนึ่ง ก็เพื่อดึงกระแสชาตินิยม และเรียกความนิยมให้กับกลุ่มการเมืองของตนแบบที่เคยทำมาตลอด
ยืนยันเหมือนเดิมว่า มีปัญหาตรงไหนก็คุยกันตรงนั้น ศาลโลกไม่เกี่ยว
ปิดจบด้วยทหารไทย และประชาชนไทยพร้อมมาก...”
5. รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่าด้วยเรื่อง “เหตุเกิดที่ #สามเหลี่ยมมรกต”
เตือนสังคมอย่างตรงไปตรงมา ระบุว่า
“1. เรายังขาดการสื่อสารทางยุทธศาสตร์เพื่อให้ประชาชนไทย และประชาคมโลกเข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
2. อย่าได้ไว้ใจผู้นำประเทศที่สับสนระหว่างผลประโยชน์ของชาติและผลประโยชน์ส่วนตัว
3. ต้องห้ามปรามมิให้บุคคลที่มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลพูดจาพล่อยๆ
4. เราต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ต้องยืนยันสิทธิของเรา ต้องเก็บหลักฐานทุกอย่างที่เกิดขึ้น และต้องแสดงต่อประชาคมโลก แม้เราจะไม่ผูกพันโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
5. คนที่อาสาเข้ามาเป็นนายกฯ ต้องทำหน้าที่ ต้องมีความรับผิดชอบ ห้ามเหนื่อย ห้ามหนีปัญหา
6. ชายแดนในศตวรรษที่ 21 ควรเป็นพื้นที่แห่งความเชื่อมโยง เปิดโอกาสให้ 2 ประเทศที่มีวัฒนธรรมร่วมกัน มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน สามารถไปมาหาสู่กัน เพื่อประโยชน์สุขของคนที่อยู่ทั้ง 2 ฟากของชายแดน
7. ประเทศไทยต้องการธรรมภิบาล ต้องการหลักนิติธรรม (the rule of law) ไม่ใช่ rule by law
8. หลักการของการอยู่ร่วมกับอันธพาล คือ ไม่ไปข้องแวะด้วย ไม่ไปมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ยกเว้น คนที่มีศีลเสมอกัน หรือ คนที่กำลังต้องหวังพึ่งบริการบางอย่างจากอันธพาลนั้น
9. ทหารในพื้นที่ ประชาชนในพื้นที่ เขายากลำบาก เขาไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ติดแอร์ กินอาหารหรู มีคนรับใช้ ดังนั้น นึกถึงพวกเขาให้มากๆ อย่าเอาแต่สนุกคะนอง
10. ประชาชนคนไทยต้องเข้มแข็ง ต้องรักชาติ แต่อย่าคลั่งชาติ”
6. ปัญหาสำคัญ คือ ผู้นำรัฐบาลไทย และคนในครอบครัว มีความสัมพันธ์ส่วนตัวลึกซึ้ง กับผู้นำประเทศกัมพูชา
แต่ผู้นำไทยกลับทำหน้าที่แบบทองไม่รู้ร้อน
ไม่รู้สึกรู้สาถึงเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศชาติที่ถูกย่ำยี
ไม่รู้คนไทยจะทนได้อีกนานเท่าใด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี