ทักษิณ ชินวัตร คือลูกนักการเมือง เพราะพ่อของทักษิณคือบุญเลิศ ชินวัตร สส. จังหวัดเชียงใหม่ ในสมัยรัฐบาลถนอม กิตติขจร ส่วนทักษิณนั้นได้มีอำนาจรัฐครั้งแรกในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในนามพรรคพลังธรรม ในรัฐบาลชวน หลีกภัย เมื่อ พ.ศ. 2537 แต่ทักษิณอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีได้เพียง 101 วันเท่านั้น เพราะติดปัญหาเรื่องการครอบครองบริษัทเอกชนที่ได้สัมปทานรัฐ
ต่อมาใน พ.ศ. 2538 ทักษิณได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมแทนจำลอง ศรีเมือง แล้วต่อมาในปีเดียวกันทักษิณก็ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา โดยทักษิณได้รับมอบหมายให้ดูแลแก้ปัญหาการจราจรและระบบขนส่งมวลชน แต่ทักษิณไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตามที่คุยเขื่องไว้ แล้วประกอบการมีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ในที่สุดทักษิณจึงประกาศลาออกจากการร่วมรัฐบาลและลาออกจากพรรคพลังธรรม แล้วตั้งพรรคไทยรักไทย
จนกระทั่งการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2544 พรรคไทยรักไทยกวาดที่นั่งได้อันดับ 1 มี ส.ส. 248 เสียง ทักษิณ จึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย
แน่นอนว่าวันที่ทักษิณได้ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาได้สร้างวาทกรรมการเมืองต่างๆ นานา ไว้มาก และเขายังมาพร้อมกับความหวังของคนไทยที่จะได้เห็นนักการเมืองไม่โกง
ไม่กิน เนื่องจากหลงคารมของทักษิณที่ว่ารวยแล้วไม่โกงแต่สุดท้ายแล้วคนไทยก็ได้ประจักษ์ชัดกับต้นตำรับทุจริตเชิงนโยบาย และการหาเสียงนิยมทางการเมืองด้วยการแจกเงิน
ของรัฐบาลผ่านนโยบายประชานิยมสารพัดชนิด
ทั้งนี้ในยุคทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก เขาก็คือผู้ที่เป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะเขาผู้นี้ซุกซ่อนทรัพย์สินมหาศาลคือหุ้นมูลค่า 4 พันล้านบาท ไว้ในชื่อของเหล่าบรรดาคนรับใช้ของเขา อาทิ คนขับรถยนต์ แม่บ้าน คนทำสวน และคนที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่แล้วทักษิณก็พ้นความผิดด้วยวาทะสุดประหลาดของทักษิณ คือ บกพร่องโดยสุจริต ที่ทักษิณใช้อ้างเพื่อให้ตนพ้นผิดกับคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยุค พ.ศ. 2544
ย้ำอดีตให้เห็นกันอีกครั้งว่าคณะตุลาการที่พิจารณาคดีทักษิณซุกหุ้นไว้ที่คนรับใช้มีความเห็น 8 ต่อ 7 โดยทั้ง 8 คนที่พิจารณาว่าทักษิณไม่ผิด คือ กระมล ทองธรรมชาติ, ศักดิ์ เตชาชาญ,
จุมพล ณ สงขลา, จุล อติเรก, ปรีชา เฉลิมวณิชย์, ผัน จันทรปาน,สุจินดา ยงสุนทร และอนันต์ เกตุวงศ์ ส่วนตุลาการเสียงข้างน้อย7 คน คือ ประเสริฐ นาสกุล (ประธานศาลรัฐธรรมนูญ)
มงคล สระฏัน, สุจิต บุญบงการ, สุวิทย์ ธีรพงษ์, อมร รักษาสัตย์,อิสระ นิติทัณฑ์ประภาส และอุระ หวังอ้อมกลาง
เมื่อคำว่าบกพร่องโดยสุจริตทำให้ทักษิณพ้นผิดเพราะศาลรัฐธรรมนูญช่วยรับรองว่าไม่ผิด จากนั้นทักษิณก็ติดปีกแล้วบินสูงขึ้นในวงจรการเมืองไทย แล้วก็ใช้อำนาจรัฐอย่างเมามัน เนื่องจากไม่มีพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรสามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทักษิณได้ ทักษิณจึงทำตัวว่ามีบารมีการเมืองสูงล้ำ แล้วคิดว่าอำนาจการเมืองที่มีในกำมือจะช่วยให้ตนเองยึดกุมอำนาจรัฐไว้ได้อย่างน้อย 20 ปี แต่สุดท้ายทักษิณก็ได้ประจักษ์แล้วว่าการมีอำนาจรัฐ แล้วใช้อำนาจรัฐอย่างไม่มีเหตุผล ก็ทำให้ตนเองพบจุดจบทางการเมือง เพราะประชาชนที่รู้เท่าทันเล่ห์กลโกงของทักษิณพากันต่อต้าน จนในที่สุดการเคลื่อนไหวคัดค้านของประชาชนก็พาทักษิณไปพบจุดจบด้วยการถูกทำรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549
ตลอดเวลาที่ทักษิณมีอำนาจรัฐ เขาใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์สารพัดรูปแบบให้กับตนเอง และพวกพ้อง แต่ทุกครั้งที่เขาใช้อำนาจรัฐแสวงหาผลประโยชน์ เขาก็จะอ้างว่าเขาทำเพื่อประชาชน ทำเพื่อประเทศชาติ เพราะเขารักชาติมากเกินกว่าใครๆ บนแผ่นดินนี้ แต่คนที่รู้ทันทักษิณต่างยืนยันตรงกันว่า ทักษิณได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการมีอำนาจรัฐจนทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ว่าทักษิณคงคิดว่าตนเองคือรัฐ เพราะฉะนั้นผลประโยชน์ใดๆ ที่ทักษิณโกยเข้าตัวเองก็จึงถูกอ้างว่า เป็นผลประโยชน์แห่งชาติ เพราะทักษิณชอบอ้างตลอดเวลาว่าใครก็ตามที่ตั้งคำถามกับเขา หรือตรวจสอบตัวเขา ก็คือคนที่ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศ เป็นพวกทำลายล้างประเทศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี