“อีสป” เป็นทาสของอาณาจักรเอเธนส์ เมื่อกว่า 3,000 ปี ก่อนแต่อีสปไม่ต้องทำงานหนักเหมือนทาสทั้งหลาย เพราะเป็นทาสเส้นใหญ่นายทาสต่างแย่งกันให้อีสปเล่านิทานโดยไม่ต้องทำงานเป็นกุลี

นิทานที่อีสปเล่า ล้วนสนุกสนาน กระชับย่อ สอดแทรกด้วยคติสอนใจ ผูกเรื่องได้สุดปังและอัศจรรย์ด้วยเทคนิคการนำเสนอ

นิทานอีสปทุกเรื่องให้ตัวละครที่เป็นเทวดา เทพอสูร ปีศาจ ซาตาน มนุษย์ทุกตัวคน สัตว์บ้านและสัตว์ป่า “ต่างพูดภาษาเดียวกัน” และสื่อความหมายตรงกันได้อย่างเป๊ะ เป๊ะ

นอกจากนั้น นิทานอีสปทุกเรื่อง มักจบท้ายแบบ “Twist Ending” หรือ “จบแบบหักมุม” แบบคนฟังคาดไม่ถึง จนถือได้ว่า “อีสปคือเจ้าพ่อจอมหักมุมคนแรกของโลก” โดยจอมหักมุมยุคใหม่ทั้ง “กีย์ เดอ โมปาสซัง ของฝรั่งเศส” และ“โอ เฮนรี่ ของสหรัฐอเมริกา” ถือเป็นแบบอย่างในการเขียน “เรื่องสั้นวรรณกรรมหักมุม” จนมีชื่อก้องโลก

นิทานอีสปนั้น หากเรื่องใดมี “หมาป่า” เป็นตัวละคร “หมาป่าก็จะเป็นผู้ร้ายตลอดกาล” มีนิสัยและสันดาน “อำมหิต ดิบ เถื่อน โหด เหี้ยม ดุดัน หักหลังและสุดเลวทรามคบไม่ได้”

ในขณะเดียวกัน หากนิทานเรื่องใด มี “หมาจิ้งจอก” เป็นตัวละคร “หมาจิ้งจอกทุกตัว” ในนิทานอีสป ก็จะเป็น “จอมลวงโลกตลอดกาล จอมกอมบาวก์ตลอดศก” โดยมีสันดานคล้าย “มนุษย์ฮวยเซง” ในเขมร เช่น “พ่อมดตาเหล่” และ “นารีหน้าซาลาเปาปะผุ” ที่ชื่อ “นางมาลี โสเจียตา” เป็นต้น

ดังนั้น นิทานอีสปเรื่อง “หมาจิ้งจอกคบกับหมาป่า”จึงเป็นตัวละคร “หมาจิ้งจอกสุดซีม่า คบกับหมาป่าที่สุดสปอร์ตน่า”หรือ “แสบคมเจ็บ” ซึ่งเป็นนิทานอีสปที่ยังไม่มีใครแปลเป็นภาษาไทย

นิทานอีสปเรื่อง “หมาจิ้งจอกคบกับหมาป่า” จะสนุกสนานแค่ไหน

อ่านได้ในฉบับหน้าครับ

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม