แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...nn แม้วิทยาการทุกสาขาจะเจริญก้าวหน้าไปไกล และนำไปใช้ประกอบการให้เกิดประโยชน์ได้กว้างขวางก็ตาม แต่ปัญหาด้านต่างๆ ก็กำลังขยายตัวซับซ้อนมากขึ้น เพราะเหตุนี้ การจะปฏิบัติภาระการงานให้สำเร็จผลได้อย่างมีประสิทธิภาพแท้จริง จึงจำเป็นต้องใช้ทั้งวิชาความรู้และความฉลาดรอบคอบประกอบกันเป็นพิเศษทุกเรื่องไป...(ความตอนหนึ่งจากพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 9 กรกฎาคม 2536)
...nn คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้าถวายสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 24 กันยายน 2568 แล้วจากนั้นในวันรุ่งขึ้นก็คงจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นที่คาดการณ์กันว่าการแถลงนโยบายครั้งนี้อาจจะเปรียบเสมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจเลยก็ว่าได้ เพราะฝ่ายค้านที่เต็มไปด้วยความแค้นที่ชื่อพรรคเพื่อไทยต้องกระหน่ำใส่รัฐบาลอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ชื่อ ธรรมนัส พรหมเผ่า แล้วก็แว่วๆ มาด้วยว่าจะมีรัฐมนตรีช่วยว่าการในกระทรวงที่อยู่ริมคลองหลอด และถนนพระราม 6 บางรายจะถูกถล่มด้วย
...nn รัฐบาลอนุทินจะมีอายุการทำงาน 4 เดือน จริงๆ หรือ สี่เดือนจะทำอะไรได้ แล้วที่ถามกันมากๆ คือ อนุทินจะยอมอยู่ในตำแหน่งแค่ 4 เดือนเท่านั้นหรือ รัฐบาลอายุ 4 เดือนไม่มีปัญญาทำอะไรได้หรอก แก้ปัญหาอะไรก็ไม่มีวันทำได้ เพราะอย่าลืมว่าขนาดรัฐบาลที่มีอายุยืนยาว 8 ปี ยังไม่มีปัญญาแก้ปัญหาสำคัญของประเทศได้เลย แล้วจะไปเอานิยมนิยามอะไรกับรัฐบาล 4 เดือน คนมีสติปัญญามีความคิดเขาไม่เชื่อหรอกว่ารัฐบาล 4 เดือนจะแก้ปัญหาของประเทศได้ อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ เอาแค่รัฐมนตรีที่ไม่มีประสบการณ์การเมืองแม้แต่น้อย เมื่อเข้าไปทำงานในกระทรวงวันแรกๆ จนถึงสองสามเดือนแรก ก็ยังไม่มีปัญญาเข้าใจกฎระเบียบต่างๆ ของกระทรวงเลย แล้วจะไปหวังลมๆ แล้งๆ อะไรกับการทำงานให้ประสบผลสำเร็จในเวลา 4 เดือน
...nn โครงการ Hi-Speed Train ใน EEC ผ่านมา 6 ปีแล้ว ไม่เห็นว่ารัฐบาลที่ผ่านมาจะมีปัญญาทำให้สำเร็จลุล่วง แล้วเอกชนจะมาคาดหวังให้รัฐบาลสี่เดือนผลักดันโครงการนี้ให้เดินหน้าต่อจนสำเร็จ มันเป็นการหวังที่เกินเหตุ หวังแบบนี้มันคือฝันกลางแดด เพราะหวังให้ตายก็ไม่ต้องคิดว่าจะประสบผลสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องเมืองการบินอู่ตะเภาก็ยิ่งกว่าฝันกลางแดดเสียอีก ไม่เชื่อลองไปดูโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบินสามแห่ง คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา แล้วจะรู้ว่าเป็นเสมือนผงฝุ่นที่ลอยฟุ้งไม่มีตัวตน โครงการนี้มีมูลค่า 224,544 ล้านบาท ความยาวของเส้นทางรวม 220 กิโลเมตร บริษัท เอเชียเอราวัณ จำกัด บริษัทในกลุ่ม C.P. ได้รับสัมปทานอายุ 50 ปี เซ็นสัญญาไปตั้งแต่ 24 ตุลาคม 2562 แต่ปัจจุบันยังล่องลอยอยู่ในอากาศ ส่วนโครงการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก และพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา มูลค่า 2.9 แสนล้านบาท โดยบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่นจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ. การบินกรุงเทพ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์และ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคช่ัน เซ็นสัญญาไปเมื่อ 19 มิถุนายน 2563 แต่ปัจจุบันก็ยังเป็นฝุ่นลอยอยู่ในอากาศเช่นกัน ภาคเอกชนที่ได้รับงานนี้ไปต่างก็บอกว่ารอ รอ และรอ แต่หากรอนานๆ ก็ต้องยุบเลิกโครงการไปส่วนเงินลงทุนไปแล้วก็ต้องถือว่าลงทุนไปแล้ว ส่วนจะได้เงินคืนหรือไม่ก็ต้องรอดูกันไป แต่ความหวังที่จะเห็นโครงการสำเร็จคงไม่ง่าย ยกเว้นว่ารัฐบาลอนุทินจะทุ่มสุดตัวเพื่อโครงการนี้
...nn วันนี้พรรคเพื่อไทยยังไม่แตกสลาย แม้ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคจะยอมเล่นละครเข้าไปอยู่ในคุก หลังจากหลบหนีคุกมานานเกือบ 2 ทศวรรษ แต่สำหรับทักษิณแล้ว หากเขายังมีลมหายใจ เขาจะต้องยื้อให้พรรคเพื่อไทยอยู่ในนานที่สุดเท่าที่จะยื้อได้ เพราะหากทักษิณดำรงชีพอยู่โดยปราศจากอำนาจรัฐ ทักษิณก็ไม่น่าจะหายใจหายคอได้คล่อง เพราะเขาคุ้นเคยและคุ้นชินกับการอยู่โดยต้องมีอำนาจรัฐอยู่ในกำมือมาตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกเมื่อปี 2544 ดังนั้น การเล่นละครยอมเข้าคุกในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการยอมบูชายัญตัวเอง เพราะหวังให้พรรคเพื่อไทยได้ดำรงคงอยู่อีกสักระยะหนึ่ง หากทักษิณไม่ต้องการรักษาพรรคเพื่อไทยแล้ว เขาไม่มีวันบินกลับจากดูไบ หลังจากหนีออกจากไทยไปเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน 2568 อย่างแน่นอน
...nn สู้ๆ นะคะ คือคำพูดสั้นๆ จากปากหญิงอ้อ พจมาน ดามาพงศ์ นายหญิงแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า วันนี้พจมานต้องออกมารับบทเจ้าของพรรคตัวจริง ในยามที่ทักษิณเล่นละครเข้าไปอยู่ในคุก ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ เพราะหากไม่ทำ ก็อาจหมายถึงความล่มสลายของพรรคเพื่อไทยแล้วเมื่อพรรคนี้ไม่อยู่ต่อไป ก็หมายความว่าทั้ง ทักษิณ พจมาน และลูกๆ ของทั้งสองก็จะต้องอยู่โดยไร้อำนาจรัฐเป็นเกราะคุ้มกันภัย ดังนั้น พจมานจึงจำเป็นต้องเปิดหน้าเล่นละครการเมืองในยามนี้ หลายคนบอกว่าในตอนที่ทักษิณอ้างว่าป่วยหนักใกล้ตายแล้วเล่นเกมไปอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก็ไม่เห็นพจมานไปเยี่ยม แต่มาครั้งนี้ได้เห็นนายหญิงบ้านจันทร์ส่องหล้าไปเยี่ยมทักษิณที่คุก แล้วยังไปปรากฏตัวอย่างชัดๆ ที่พรรคเพื่อไทยอีกด้วย งานนี้นับว่าทุ่มสุดตัวเพื่อความอยู่รอดของพรรคเพื่อไทย และเพื่อความอยู่รอดของสมาชิกชินวัตรในส่วนของทักษิณ
...nn พรรคเพื่อไทยประกาศไม่ร่วมเป็นวิปฝ่ายค้าน หรือกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรกับพรรคประชาชน โดยให้เหตุผลว่าไม่ไว้วางใจพรรคประชาชนที่เล่นบทพลิกไปพลิกมา เดี๋ยวเป็นฝ่ายค้าน เดี๋ยวเป็นฝ่ายรัฐบาล ส่วนพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะขอเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว จะตรวจสอบฝ่ายรัฐบาลอย่างเข้มข้นเมื่อพรรคเพื่อไทยอ้างว่าจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น ก็ทำให้มีคำถามว่าแล้วจะเล่นงานธรรมนัสในเรื่องยาเสพติดในออสเตรเลียด้วยหรือไม่ แต่คอการเมืองบอกว่าเพื่อไทยจะเลือกเล่นงานก็ต่อเมื่อคนคนนั้นเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพรรคของตนเท่านั้น แต่เมื่อเป็นฝ่ายเดียวกันก็ไม่แตะต้องแม้แต่น้อย ดังนั้น ก็จึงทำให้มีเสียงวิจารณ์ว่าพรรคเพื่อไทยก็เลือกค้านในยามที่ตนเสียประโยชน์ แต่สนับสนุนในยามที่ตนได้ประโยชน์ ซึ่งก็ไม่คงเส้นคงวาเช่นกัน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปวิจารณ์พรรคประชาชนว่าไม่คงเส้นคงวาเพราะมันพอๆ กันทั้งสองพรรค
...nn เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ประกาศว่าพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมีประสบการณ์การเมืองมาแล้ว 6 ปี โธ่! เท้งเอ๊ย ไม่ต้องประกาศหรอก เพราะจะมีประสบการณ์การเมืองกี่ปีก็ไม่ใช่ปัญหาของการเป็นนายกรัฐมนตรีไทย เพราะไม่มีประสบการณ์ก็เป็นได้ ไม่ต้องดูอะไรมากมาย ดูจากยิ่งลักษณ์ และแพทองธาร ชินวัตร รวมถึง เศรษฐา ทวีสิน ก็ได้ แต่คำถามคือเท้งมั่นใจหรือว่าประสบการณ์ของตนจะช่วยให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆ พูดก็พูดเถอะนะ ไม่มีประสบการณ์การเมืองแม้แต่น้อยก็เป็นนายกรัฐมนตรีไทยได้ หากมีพ่อเป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่สามารถหนุนส่งและดันให้เข้าไปเป็นนายกฯ ได้ว่าแต่ว่าเท้งคุยกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของพรรคประชาชนลงตัวแล้วใช่ไหมว่าเขาจะดันหนุนส่งเท้งให้เป็นนายกฯ จริงๆเพราะทราบมาว่าทั้งธนาธร และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็หมายปองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีด้วยกันทั้งคู่ แต่สำหรับพิธานั้น คงอีกนานกว่าจะได้กลับมาสู่เวทีการเมือง แต่ธนาธรนั้นน่าจะกลับสู่เวทีการเมืองแบบไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ได้เร็วกว่าพิธา
...nn ปิดท้ายด้วยข่าวดีสำหรับไทย คือข่าวไทยขึ้นแท่นเบอร์สองผู้ส่งออกอาหารหมาและแมวไปขายในตลาดโลก สร้างรายได้ให้ไทยประมาณ 2,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 29 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยไทยเป็นรองแค่เยอรมนี ที่ส่งออกเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่าประมาณ 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดหลักของอาหารหมาและแมวของไทยคือสหรัฐ แล้วก็ยังส่งออกไปที่ตลาดสหภาพยุโรป รวมถึงตลาดในไต้หวัน จีน และเกาหลีใต้ ...nn
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี