วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้น ต้องถือว่า“ดวงตก” ประเภทผีซ้ำกรรมซัด ซึ่งตามสำนวนไทยหมายถึงว่า เคราะห์กรรมซ้ำเติม เมื่อมีเรื่องร้ายอยู่แล้วก็มีเรื่องร้ายอื่นเข้ามาซ้ำอีก เหมือนเคราะห์ร้ายเดิมยังไม่หาย ก็มีเคราะห์ใหม่เข้ามาซ้อนทับเข้าไปอีก ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก
คือเวลานี้นอกจาก“ทักษิณ ชินวัตร”จะเป็นนักโทษอยู่ในคุก ต้องใช้คำนำหน้าชื่อจากนายมาเป็น“น.ช.”หรือ“นักโทษเด็ดขาดชาย”แล้ว ก็ยังมีทุกข์ถาโถมกระหน่ำซ้ำเข้ามาอีก เพียงแต่วันเดียวเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ถูกทั้งอัยการสูงสุดมีความเห็นจะยื่นอุทธรณ์คดีความผิดมาตรา 112 เเละความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ภายในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้ จากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 และยังถูกศาลฎีกาพิพากษากลับให้“ทักษิณ”ต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท จากการขาย“หุ้นชินคอร์ป”ให้แก่กรมสรรพากร
อันที่จริง“ทักษิณ ชินวัตร”หนีโทษหนีคดีไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างแดนตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมปี 2551 แล้วยอมกลับมารับโทษ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 เพราะพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล มีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็คงคิดแล้วว่าถึงอย่างไรก็สบาย เนื่องจากรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ตนเองสามารถควบคุมบงการได้ เรียกว่า“อำนาจ”กลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง จะชี้นิ้วสั่งการรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลหรือข้าราชการน้อยใหญ่คนไหนก็ได้ทั้งสิ้น
หนีโทษคดีทุจริตโกงชาติโกงแผ่นดินไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศกว่า 15 ปี เมื่อกลับเข้ามาได้รับพระมหากรุณาพระราชทานอภัยลดโทษให้ จาก 8 ปี เหลือ 1 ปีทั้งที่จริงแล้วจากเดิม 10 ปี แต่เผอิญว่ามีความผิดพลาดทางเทคนิค ด้วยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้นับโทษ“คดีหวยบนดิน”ที่“ทักษิณ”มีโทษจำคุก 2 ปี ต่อจาก“คดีเอ็กซิมแบงก์”ซึ่งมีโทษ 3 ปี จึงทำมีโทษเหลือเพียงแค่ 3 ปี เมื่อไปบวกรวมกับ“คดีแก้สัมปทานเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป” 5 ปี โทษก็เลยลดลงเหลือแค่ 8 ปี
ปรากฏว่าเมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาพระราชทานอภัยลดโทษให้จาก 8 ปี เหลือ 1 ปีด้วยทรงเห็นว่านักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่ได้ยื่นทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษกราบบังคมทูลในฎีกาว่า “ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด”ประกอบกับ“ทักษิณ”ได้กราบบังคมทูลว่า มีอายุมากและมีปัญหาเจ็บป่วย ต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงพระราชพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้
แต่ที่ไหนได้ในเมื่อได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ แทนที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ยัง“โกงการติดคุก”ไปอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างว่า“ป่วยวิกฤต” จากการร่วมมือของข้าราชการกรมราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ที่เอื้อประโยชน์ให้“ทักษิณ”ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ ทั้งที่ไม่ได้ป่วยจริง จนกระทั่งครบ 180 วันได้รับการพักโทษ
ผลสุดท้าย ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็จับได้ว่า“ทักษิณป่วยทิพย์” จึงสั่งบังคับโทษให้กลับไปติดคุกใหม่อีก 1 ปี เวลานี้จึงต้องกลายเป็นนักโทษเด็ดขาดชายอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรม ขณะที่ข้าราชการกรมราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ทั้งหมด 12 คนก็กำลังถูก ป.ป.ช.สอบสวนดำเนินคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ในจำนวน 12 คนนี้ มี“ระดับบิ๊ก” 3 คนที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็คือ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์, พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วย ผบ.ตร. อดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ที่เพิ่งจะถูกย้ายไปช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิม เมื่อเร็วๆ นี้เอง เพราะไปเกี่ยวข้องกับ“ทักษิณ ชินวัตร”โดยแท้
อย่างไรก็ดี ชีวิตของ“ทักษิณ ชินวัตร”ในช่วงบั้นปลายของอายุขัยในวัย 76 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เรียกว่า“ดวงตก”หรือ “ผีซ้ำกรรมซัด”นั้น ก็เป็นเพราะผลกรรมจากที่ได้ก่อไว้ อันเป็นกฎธรรมชาติตามหลัก“อิทัปปัจจยตา” เมื่อทำอะไรไว้ย่อมหนีไม่พ้น
การที่นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ “เอม” บุตรสาวคนกลางของ“ทักษิณ ชินวัตร” ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อหลังจากเข้าเยี่ยมบิดาที่เรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเล่าถึงความรู้สึกของบิดากับข่าวที่อัยการสูงสุดจะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 และคดีคอมพิวเตอร์ ว่า “วันนี้คุณพ่อดูเสียใจและรู้สึกเจ็บช้ำจากเรื่องอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์ คดี ม.112 ส่วนหลังจากนี้คงต้องไปคุยและวางแผน ต้องสู้ ถ้าเกิดเรายังไม่ได้รับความยุติธรรมก็ต้องสู้ต่อ แต่ว่าจุดนี้เราเป็นห่วงในเรื่องความรู้สึกคุณพ่อ เพราะท่านอยู่ในนี้ก็ไม่มีใครอยู่กับท่าน พวกเราได้เพียงส่งกำลังใจ”
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม คดีความผิดมาตรา 112 นี้ “ทักษิณ ชินวัตร”ยังสามารถต่อสู้ได้อีกจนถึงชั้นศาลฎีกา ถ้าไม่ผิดก็ถือว่าไม่ผิด และไม่ใช่เรื่องที่ทั้งนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย หรือคนที่อยู่ในแวดวงใกล้ชิดของ“ทักษิณ”จะมาบอกว่าโดน“การเมืองเล่นงาน” เนื่องจากหมดอำนาจแล้ว แต่เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม และในทางกลับกันถ้าหากอัยการสูงสุดในฐานะโจทก์มีคำสั่งไม่ยื่นอุทธรณ์ นั้นต่างหากที่เรียกว่า “ไม่ปกติ”
ส่วนเรื่องภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท ที่จะต้องใช้คืน ก็เป็นคดีเก่าจากกรรมที่ก่อไว้ ไม่เพียงแต่ตัว“ทักษิณชินวัตร” จะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 5 ปีเท่านั้น นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หรือ“หมอเลี้ยบ”ก็เคยติดคดีทุจริต“แก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมเอื้อชินคอร์ป”มาแล้ว เป็นการทุจริตขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ”เป็นนายกรัฐมนตรี
เรื่องภาษี 1.76 หมื่นล้านบาทนี้ จากนี้ไปไม่ว่า“ทักษิณ ชินวัตร”จะไปแอบซุกเงินไว้ที่ไหน หรือในต่างประเทศ กรมบังคับคดีสามารถสืบทรัพย์และตามเก็บจนครบ แม้แต่เครื่องบินเจ๊ตส่วนตัวราคากว่า 3 พันล้านบาท รวมทั้งรถยนต์โรลส์รอยซ์ กันกระสุนราคากว่า 30 ล้านบาท ที่“ทักษิณ”เพิ่งซื้อมา กรมบังคับคดีก็สามารถยึดได้หมด รวมทั้งสร้อย แหวน นาฬิกาหรูเรือนละหลายสิบล้านบาทก็ด้วยเช่นกัน และในคดีนี้ก่อนหน้านี้“ทักษิณ”ก็เคยถูกสั่งยึดทรัพย์มาแล้ว 4.6 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้น“ชินคอร์ป”ให้แก่“กองทุนเทมาเส็ก”ของสิงคโปร์
ท้ายที่สุดแล้ว นอกจากตนเองและวงศ์ตระกูลจะเสื่อมเสียชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทองที่โกงมาจากคดีทุจริตก็ต้องหมด และแม้แต่พรรคเพื่อไทยที่สร้างมากับมือตั้งแต่เริ่มต้นจากพรรคไทยรักไทยก็จะต้องแตกเป็นเสี่ยง ไม่เหลืออะไรสักอย่าง เรียกว่ามาตัวเปล่าก็ต้องกลับไปแบบตัวเปล่า
สำคัญที่สุด ตามภาษาพระท่านว่า “กลฺยาณการีกลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ-ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ดีผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ชั่ว” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล

ไปก่อนไทย!สิงคโปร์คว้าตั๋วเอเชียนคัพรอบ41ปี
‘น่าน’ประชุมเตรียมพร้อมจัดงานประเพณีแข่งเรือชิงถ้วยพระราชทานฯ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 2
จาก'อังกฤษ'สู่'ไทย' : เปิดใจ'จู๊ด เบลล์'วันแจ้งเกิดช้างศึก
พ่อค้าแม่ค้าแห่จองล็อกขายสินค้าฟรี งานพลุนานาชาติ‘เมืองพัทยา’
ปากดีต้องโดนแบบนี้! 'ยุ้ย ญาติเยอะ'ฟาดกลับชาวเน็ต หวังแซะบูลลี่

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี