การเสียชีวิตของ เดวิด มัวร์ส อดีตประธานสโมสรของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี แห่งเกาะอังกฤษ สร้างความโศกเศร้าให้กับแฟนบอล เพราะตระกูลนี้คือตระกูลที่อยู่คู่กับเมืองแห่งลุ่มน้ำเมอร์ซี่ย์ มานานเป็นร้อยปี
ท่านเสียชีวิตด้วยวัย 76 ปี และที่น่าเศร้าสลดก็คือ มาร์กี้ คู่ชีวิตของท่านเพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง.......
ตลอดเวลา 16 ปี ในตำแหน่งประธานสโมสร (ปี 1991-2007) ถือเป็นการทำงานครั้งสำคัญ และกดดันอย่างที่สุด เพราะเมื่อเข้ารับตำแหน่งนั้น ทีมเพิ่งเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเพราะ เคนนี่ ดัลกลิช ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และมี แกรม ซูเนสส์ เข้ามาเป็นกุนซือ
มัวร์ส ปฏิบัติการหลายต่อหลายอย่าง เมื่อปลด ซูเนสส์ ออกจากทีมทำให้เป็นกุนซือลิเวอร์พูล คนแรกนับตั้งแต่ปี 1956 ที่ตกงานเพราะการ “ไล่ออก”โดยภายใต้การบริหารของเขาได้แชมป์ 10 รายการ ซึ่งไฮไลท์สำคัญก็คือ การได้ 3 แชมป์บอลถ้วยปี 2001 และครองยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2005
ต้นตระกูล “มัวร์ส” นี้ยืนหยัดกับสโมสรยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ เช่นเดียวกับ จอห์น มัวร์ส ซึ่งเป็นปู่ของเดวิด ที่ถือบังเหียน เอฟเวอร์ตัน ถึงสองสมัย
ไม่แปลกที่คนดูฟุตบอลยุค 90 เป็นต้นมา รวมทั้งคนที่รู้จักศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ จะตีความ เดวิด มัวร์ส คือ “เครื่องหมายการค้า” คือ “เครื่องหมายแห่งความรัก” คือ “เครื่องหมายแห่งความสัมพันธ์”
เป็นผู้เชื่อมต่อระหว่างตระกูลมัวร์ส กับ สโมสรลิเวอร์พูล
หากเราจะพูดถึงการก่อตั้งทีมนั่นคือ จอห์น โฮลดิ้ง ต่อด้วยการพลิกโฉมหน้าทีมคือ บิลล์ แชงคลี่ย์ กับการบริหารก็ต้องตระกูลนี้ที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้น ในยุคที่ “การเงิน” ได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารมากกว่า “หัวใจ” มากกว่า “ความรัก” ยุคต้นมิลเลนเนี่ยมสหัศวรรษใหม่ ที่แต่ละทีมมีเงินทุนจากแดนไกลเข้ามาเพ่นพ่านบนเกาะอังกฤษ
เดวิด มัวร์ส อยู่ในยุครอยต่อนั้น และมีเกี่ยวข้องกับประเทศไทย
ผมจึงอยากเล่า “สตอรี่สีแดง” ชิ้นให้กับทุกคนได้ฟังกันครับ.............
..........“เมื่อไหร่จะให้คนรวยมาเป็นเจ้าของทีม”...........ได้ยินประโยคเหล่านี้ผ่านทางหูและลูกตาบ่อยมาก มากจนน่าเบื่อว่า ชีวิตจะไม่คิดอะไรเลยหรือไงนอกจากจะหวังให้ถูกหวยรวยโป
การทำทีมฟุตบอลสักทีม มันจะรอให้เป็น “สามล้อถูกหวย” คงจะไม่ได้ แม้กระแสสังคมบอลจะเป็นเรื่องของ “เงินใช้ผีโม่แป้ง” นี่คือฟุตบอลในยุคมิลเนี่ยนแนร์
..............ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ในยุคของ เดวิด มัวร์ส เจ้าของผู้จงรักภักดีของสโมสร ลมหายใจของเขา เข้า-ออกเป็นลิเวอร์พูล ได้เปิดเผยข่าวเมื่อ 22 มิถุนายน 2000 ในปีฉลองสหัสวรรษใหม่ ว่า ลิเวอร์พูล มีโปรเจกท์สำคัญยิ่ง
ทีมกำลังจะสร้างสนาม “นิว แอนฟิลด์” หรือสนามแห่งใหม่ ที่สวนสาธารณะสแตนลี่ย์ พาร์ค ด้วยความจุ 60,000 ที่นั่ง เรียกเสียงฮือจากเดอะ ค็อปทั่วโลก ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย
แน่นอน....ถ้าไม่จำเป็นไม่มีใครอยากย้ายบ้าน เพราะบ้านแห่งนี้อยู่กับสโมสรมาตั้งแต่ปี 1892 กว่าจะได้มาก็อย่างที่เขียนไว้ในบทแรกว่า เลือดตาแทบกระเด็น
แต่บางคนก็ต้องการที่อยู่ใหม่ให้มันใหญ่กว่าเดิม และต้องการความสะดวกสบายที่มากขึ้น ประมาณว่า มีถนน มีน้ำประปา มีไฟฟ้า ครบถ้วน
หลังจากการประกาศ กลับกลายเป็นทุกอย่างเงียบงันไปเกือบปีคาดกันว่า มัวร์ส กำลังโยนหินเพื่อถามทาง เพราะนี่คือการลงทุนและเป็นการเดินหน้าครั้งสำคัญ
7 มีนาคม 2001 มีข่าวหลุดมาว่า ลิเวอร์พูล อาจจะย้ายสนามไปที่ “สปิค” อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้จากซิตี้ เซ็นเตอร์
ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของ จอร์จ แฮร์ริสัน และเซอร์พอล แม็คคาร์ทนี่ย์ สองตำนานแห่งวงเดอะ บีทเทิ่ลส์ หรือ 4 เต่าทอง โดยจะสร้างสนามได้ถึง 75,000 ที่นั่ง
ปรากฏว่า อันนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ หัวเด็ดตีนขาด ยังไงแฟนบอลก็ไม่ยอม กรณีนี้คล้ายกับแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ที่ไม่ต้องการย้ายจากกูดิสัน พาร์ค ไปอยู่ที่ เคิร์กบี้ (แล้วสุดท้าย.....ก็กำลังจะย้ายอย่างที่เห็น)
17 พฤษภาคม 2002 มีการประกาศว่า สนามแห่งใหม่นี้จะสร้างขึ้นที่สแตนลี่ย์ พาร์ค ด้วยทุนการสร้าง 70 ล้านปอนด์ จุคนได้ 55,000 คน
8 มีนาคม 2003 สโมสรออกมายืนยันเองว่า จะสร้าง 60,000 ที่นั่ง ราคา 80 ล้านปอนด์
ข่าวคราวเงียบหายไป 2 ปีนึกว่าไปได้ดี ยิ่งกว่าศรีน้องมาเซลล์บอดี้ จนวันที่ 8 มีนาคม 2005 มีข่าวว่า The North West Development Agency (NWDA) บริษัทเอเจนซี่ดัง มีข้อเสนอให้ทั้ง ลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน ใช้สนามร่วมกัน
ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่า ลิเวอร์พูล ปฏิเสธ แต่ เอฟเวอร์ตัน แกเอานะ
สุดท้ายข้อเสนอนี้ตกไป
15 กันยายน 2006 สโมสรเสนอเรื่องการทำสัญญาเช่าพื้นที่สแตนลี่ย์ พาร์ค เป็นเวลา 999 ปี โดยจะจ่ายค่าเช่าปีละ 300,000 ปอนด์
สภาเมืองลิเวอร์พูล ขานรับข้อเสนอนี้ ได้อนุมัติสัญญาเช่า 999 ปีดังกล่าว พร้อมให้ ลิเวอร์พูล ได้รับอนุญาตให้สร้างสนามแห่งใหม่ได้ทันที
.........เมื่อเดินทางมาถึงตรงนี้ มัวร์ส ที่บริหารทีมมาตั้งแต่ปี 1991 จึงเริ่งเครื่องขายกิจการทีมให้กับ “คนที่มีเงินพอ” ที่จะหาทุนสร้างสนามแห่งใหม่ เขาจึงตัดสินใจปล่อยกิจการให้กับ ทอม ฮิคส์ และจอร์จ ยิลเล็ตต์ สองเศรษฐีชาวสหรัฐ
เหตุผลก็คือ ทั้งสองคนได้ “ขายฝัน” ด้วยการให้สัญญาทันทีที่ซื้อทีมเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2007 พร้อมประกาศว่า โครงการสร้างสนามใหม่ 210 ล้านปอนด์
จะดำเนินการภายใน 60 วันนับจากบัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป!!!
ใครจะไปรู้ว่า จากเดิมที่จะทำตามสัญญา แต่นั่นกลายหายนะที่กำลังเดินเข้ามาหาสโมสร
ทั้งที่ปี 2004 เกือบเป็นของคนไทย สุดท้ายไปอยู่ในมือมารจากอเมริกา
วัดด่าน พระราม 3 วันที่ 11 พฤษภาคม 2004 ในเพลาบ่ายคล้อย!!!!!
ผมกำลังบวชเป็นพระทดแทนบุญคุณพ่อแม่และผู้มีพระคุณ ตอนนั้นบวชไปแล้ว 11 วัน ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือเลย จนวันนั้น ใช้ให้ลูกศิษย์คือ เจ้าบอย กับ เจ้าขวัญ กลับไปเอาของที่บ้าน เนื่องจากกำลังจะสึกในอีก2 วันข้างหน้าตามกำหนดบวช 13 วัน
จังหวะนั้น “ตุ้ม ระเบิดขวด” วิศิษฐ์ แสงเมือง ช่างภาพคู่หูคนละวัยจากโรงพิมพ์แนวหน้า ขับรถที่ติดสติ๊กเกอร์ “เห็น F-16 ทีไร....ไล่ทุกที” ควบปุเลงๆ เข้ามาในวัด
ไม่รู้แกนาฬิกาหายหรือว่าใครยืมไป แกเอา “แกงเนื้อ” กับ “เนื้อทอด”มาถวายพระตอนบ่าย 2
“เอาของโปรดมาถวาย ลืมไป ถ้าหลวงพี่(ทั้งที่ผมอายุน้อยกว่าลูกแก)ฉันตอนนี้ ต้องอาบัติ งั้นผมจัดการแทนหลวงพี่เลยนะ” ตาตุ้ม บอก.......
ระหว่างที่กำลังนั่งมองโยมตุ้ม เอร็ดอร่อยกับการกินแกงเนื้อที่ควรจะเป็นภัตตาหารเพลของพระ ก็นึกขึ้นได้ว่า ลืมสั่งให้ ขวัญ กับ บอย
เอารองเท้ามาด้วย
อาตมา(ในตอนนั้น) จึงตัดสินใจเปิดโทรศัพท์
ยังไม่ทันโทรไปหาสองลูกศิษย์วัด ก็มีสายเข้ามาจากโรงพิมพ์..........จังหวะมันซิตคอมมากจริงๆ เลยโยม
ต้น-วิโรจน์พันธ์ อนันต์ภิรมย์รื่น หัวหน้าผู้ปฏิบัติการข่าวสกู๊ป นสพ.แนวหน้า (ในเวลานั้น) โทรมาทำเสียงละล่ำละลัก โดยมีอีกหลายเสียงจอแจอยู่ด้านหลังว่า “หลวงพี่....ผมขออภัยครับ”
“นมัสการครับ คือเอ่อออออออ ผมมมมมม เอิ่มมมมมมมมม....หลวงพี่สึกวันไหนครับ????”
เราก็ถามกลับไปว่า “อีก 2 วัน มีอะไรเหรอโยม”
เสียงละล่ำละลักจากไอ้หนุ่มฉะเชิงเทรา ว่า คือผมขอโทษครับถ้าหลวงพี่สึกแล้ว จะรบกวนให้เขียนเรื่องหวยหุ้น แล้วก็เรื่องประวัติลิเวอร์พูลหน่อยครับ
“ทางนี้ไม่มีใครเขียนได้ คือไม่ได้รีบครับ แต่ที่โรงพิมพ์รอหลวงพี่อยู่ครับ!!!!!”
เท่านั้นล่ะ..................ผ้าเหลืองร้อนเลยโยม!!!!!!
.......ปฐมบทเกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นบรรดา “ซูเปอร์เสี่ย” ทั้งหลาย กำลังเข้าไปทำธุรกิจกับวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่เติบโตจากยุค “ดิวิชั่น 1” มาเป็น “พรีเมียร์ลีก” ได้ 10 ปีพอดี ถือว่าตั้งไข่ได้และมีอนาคต
“เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อมาเทคโอเวอร์ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ในปี 2003
มัลคอล์ม เกลเซอร์ บินจากอเมริกามาประกาศศักดารวบหุ้น“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปีเดียวกัน
ถึงเวลามันเกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล บ้าง ก็ถือว่าไม่แปลกอะไร โดยช้ากว่า 2 ทีมแรก 1 ปี
..... ความพยายามในคราครั้งนั้น ย้อนกลับไปก็คือ เหตุผลในตอนแรกคือ “หวยหุ้นหงส์” ให้ทุกคนมีโอกาสในการ”เป็นเจ้าของ”ในนามของคนไทย
ทุกอย่างยิ่งกระพือหนักขึ้นไปอีกเมื่อ ริค แพร์รี่ ซีอีโอของลิเวอร์พูล เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 10 พฤษภาคม 2004 ท่ามกลางเสียงฮือฮาว่า “สนับสนุน” และ “คัดค้าน” ตามฟอร์ม
ข้อเสนอตอนนั้นคือ ไทยจะยื่นข้อเสนอขอซื้อหุ้นสัดส่วน 30% มูลค่าสุทธิ 60-65 ล้านปอนด์ หรือเกือบๆ 5 พันล้าน โดยมีจำนวน 15,000 หุ้น
หุ้นส่วนนี้เป็นหุ้นออกใหม่เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมจำนวน 15,000 หุ้น
ลิเวอร์พูล ตอนนั้นมีจำนวนหุ้น 35,000 หุ้น มีราคาหุ้นละ 4,000 ปอนด์ โดยหุ้นที่ไทยจะซื้อเป็นหุ้นออกใหม่ 15,000 หุ้น
หากการซื้อสำเร็จ ไทย จะเข้าไปถืออยู่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นลำดับที่ 2 รองจาก เดวิด มัวร์ส เพียงคนเดียวที่ถืออยู่ 35 เปอร์เซ็นต์ โดยลดจากเดิมที่เคยถือ 51 เปอร์เซ็นต์
แผนงานตอนนั้นถือเป็น “เมกะโปรเจกท์” เพราะจะมีการผลิตออกขายรวมทั้งสิ้น 10 ล้านใบ ในราคาใบละ 1,000 บาท รวมมูลค่ารวมอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท
สลากที่มีมูลค่า 1,000 บาท ได้มีการจำแนกมูลค่าออกมา 200 บาท ที่ผู้ถือสามารถนำมาแลกเป็นหุ้นของบริษัทได้ วางเป้าเอาไว้ว่า จะจำหน่ายในเดือนมิถุนายน 2004 และออกสลาก สิงหาคม พร้อมกับจะทำการออกรางวัลย่อยแบ่งเป็นงวดๆ ไป
เงิน 10,000 ล้านบาทที่ได้ แบ่งเป็น 3 ส่วน 3 ข้อด้วยกัน ก็คือ ข้อแรก เงินรางวัล 4,000 ล้านบาท, ข้อสอง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 1,000 ล้านบาท และข้อสุดท้าย คือ เงินสำหรับโอนเข้าบริษัทไปซื้อหุ้น 5,000 ล้านบาท
ธนาคารออมสิน เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักอยู่ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ และจะใช้หลักการกระจายหุ้นของรัฐวิสาหกิจเป็นพื้นฐานในการกระจายหวยหุ้น
ตอนนั้น รางวัลที่ 1 คือ 1,000 ล้านบาท....ทำเอาชาวบ้านตาโต!!!!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “แนวคิด” จะออกมาได้ดี แต่ “วิธีการ” ไม่สามารถจะตอบโจทย์ที่ชัดเจนอะไรได้เลย
ทำให้สุดท้ายความคิดนโยบาย “หวยหุ้นหงส์” ก็ต้องเป็นหมันไปโดยปริยาย
ลงท้าย ทักษิณ ประสบความสำเร็จในอีก 3 ปีต่อมา เขาซื้อ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร ซิตี้ ในราคาตอนนั้น 81.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 4 พันล้านบาท ถือหุ้น 75 เปอร์เซ็นต์
มีการนำนักเตะไทย 3 คนไปร่วมทีม แต่ทำทีมไปได้ 1 ฤดูกาล ก่อนจะโดนสั่งอายัดทรัพย์สินหลายหมื่นล้านจาก คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
ที่สุดแล้วก็ต้องขายทีมไปให้กับ อาบูดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป
...................ก่อนหน้าที่ประเทศไทยจะมีเอี่ยวเรื่องเทคโอเวอร์นี้เพียงเดือนเดียว
สตีฟ มอร์แกน เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ “เรดโรว” ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ยื่นข้อเสนอเป็นจำนวนเงิน 50 ล้านปอนด์ เพื่อช่วยในการก่อสร้างสนามใหม่ แต่มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนหุ้นในมือที่เพิ่มขึ้น พร้อมตำแหน่งในบอร์ดบริหาร
แต่เป็นเพราะการขัดแย้งส่วนตัวระหว่าง มัวร์ส กับ มอร์แกน ทำให้ดีลนี้ตกไป
จากนั้น ตัวละครเกิดขึ้นอย่างมากมาย
หลังจากการเทคโอเวอร์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องเป็นหมันไปในปี 2004
ข่าวมาแรงจากถิ่นอาหรับตะวันออกกลาง ในปี 2006
..............กลุ่มนี้คือ ดูไบ อินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล หรือ DIC ซึ่งเมื่อก่อนชื่อว่า “ดูไบ โฮลดิ้ง” ที่นำโดย โมฮัมหมัด บิน รอชิด อัล มัคตูม
อัล มัคตูม พระองค์เป็นพระโอรสองค์ที่ 3 จากทั้งหมด 4 องค์ของ ชีค รอชิด บิน ซาอิด อัล มัคตูม อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 และรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ท่านเป็นเจ้าผู้ครองนครดูไบ
ยังมีชื่อของ โรเบิร์ต “บ็อบ” คราฟต์ เจ้าของทีม “นักรบกู้ชาติ”นิวอิงแลนด์ เพเทรียตส์ ฆวน บียาร์ลองก้า เจ้าพ่อสื่อสารมวลชนสเปน และกลุ่มนักธุรกิจจากนอร์เวย์ คือชื่อที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
มีบันทึกเอาไว้ หลังจบเกมเกมมหัศจรรย์ หงส์ครองเจ้ายุโรปสมัยที่ 5 ที่อิสตันบูล ริค แพร์รี่ ประธานบริหารของลิเวอร์พูล พบกับ ซามีร์อัล อันซารี่ ซีอีโอของ DIC ด้วยความบังเอิญ ทำให้ได้รู้จักกัน และติดต่อกันตลอด
ก่อนที่ DIC จะติดต่อการซื้อสโมสรอย่างเป็นทางการเดือนธันวาคม ปี 2006
ระหว่างนั้นตัวแทนของ DIC ก็มาที่แอนฟิลด์บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สะเทือนความรู้สึก และสะกิดให้ทั้ง มัวร์ส และแพร์รี่ เริ่มไม่แน่ใจก็คือ เอกสารลับที่มีชื่อว่า Project Oslo หรือ โปรเจกท์ออสโล
เรื่องนี้มีการตีแผ่ไปยังสื่ออังกฤษนั่นคือ บีบีซี และเดลี่ เทเลกราฟ เนื่องจากมีการระบุเอาไว้ว่า DIC มีแผนที่จะถอนทุนคืนจาก ลิเวอร์พูล ในระยะเวลา 7 ปี
นาทีนั้น DIC เรื่องมีข่าวเชิงลบ ก็มี ทอม ฮิคส์ กับ จอร์จ ยิลเล็ตต์ สองเศรษฐีอเมริกา เข้ามาเจรจาอยากจะซื้อทีม
กระทั่งสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ DIC ถูกทาง มัวร์ส กับ แพร์รี่ บีบให้ตอบเกี่ยวกับเรื่องเอกสาร ก่อนจะได้รับคำตอบว่า เอกสารนั้นก็แค่ข้อมูลการลงทุน และไม่มีทางจะขายทีมในระยะเวลาสั้นๆ แบบนั้นแน่
สุดท้ายแล้วถึงจุดแตกหัก การเจรจาไม่ลงตัว เมื่อ DIC ยื่นข้อเสนอให้ เดวิด มัวร์ส ตอบมาว่าจะ “ขายหรือไม่ขาย” ภายในระยะเวลาเพียง6 ชั่วโมง
บอร์ดบริหารลิเวอร์พูลทุกคนยืนยันว่า ทีมไม่ควรจะถูกกดดันถึงขนาดนี้ การเอาเงินมาฟาดแบบนี้คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
แต่ยังไม่ทันที่จะมีการตอบรับหรือว่าปฏิเสธ DIC ก็ถอนตัวออกไปเอง
เรื่องนี้ แพร์รี่ เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้ง เมื่อปี 2011 ว่า ที่จริงแล้ว DIC คือตัวเลือกแรกของสโมสรในขณะนั้น แต่น่าเสียดายที่พวกเขากลับถอนตัวออกไปเอง
ทำให้สุดท้าย ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ต้องอยู่ในสภาวะจำเป็นที่จะต้องรับข้อเสนอจาก ทอม ฮิคส์ และจอร์จ ยิลเล็ตต์
กระทั่งเป็นที่มาของคำว่า “ปลิงมะกัน” ในเวลาต่อมา
..........นี่คือเรื่องราวของหน้าประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นระหว่าง DIC กับ ลิเวอร์พูล
บอกกันไม่ได้เหมือนกันว่า เมื่อเจ้าของทีมรวย แล้วทีมจะรวยตาม เพราะคนรวยก็อย่างที่เห็น หลายคนเข้าห้องน้ำยังต้องเอากรรไกรเข้าไปตัดขี้ตัวเอง
มันเหนียวเป็นบ้า
.......เป็นที่เชื่อกันว่าด้วยเหตุการณ์การขายทีมครั้งนั้น ทำให้ เดวิด มัวร์ส ไม่ค่อยอยากปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะชน หรือธารกำนัล เท่าไหร่นัก เพราะเขาเจ็บปวดไม่ได้ด้อยกว่าใครที่มีหัวใจเป็นลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ
ภาพที่ปรากฏตัวในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ปี 2019 จึงสร้างความประทับใจให้กับแฟนบอลที่ได้เห็นเขาอยู่ในแอนฟิลด์อีกครา
ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ถึง เดวิด มัวร์ส จะจากไปแล้ว แต่เชื่อเหลือเกินว่า ความรักความทุ่มเทของเขาที่มีต่อสโมสรแห่งนี้
ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครในโลกา...........
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี