อีกแล้วระเบิดปริศนากลางกรุงอย่างอุกอาจเย้ยอำนาจรัฐยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)โดยเมื่อตอนตี 4 วันที่ 13 ก.ย.เกิดเหตุระเบิดอย่างรุนแรงที่ตู้เอทีเอ็ม ห้างเทสโก้ โลตัส สาขากรุงเทพกรีฑา แขวงสะพานสูง เขตประเวศ แล้วฉกเงินเกือบ 5 แสนบาท หนีไปอย่างลอยนวล ซึ่งผลจากแรงระเบิดทำให้ตู้เอทีเอ็มซึ่งทำด้วยเหล็กแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในรัศมีหลายสิบเมตร
ล่าสุดยังไม่มีการเปิดเผยชนิดของระเบิด แต่ผู้เชี่ยวชาญของหน่วยเก็บกู้ระเบิดระบุว่า เป็นระเบิดที่มีอานุภาพในรัศมี 100-200 เมตร
พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) กล่าวภายหลังตรวจสอบจุดเกิดเหตุว่า คนร้ายน่าจะประสงค์ต่อทรัพย์เนื่องจากในตู้เอทีเอ็มมีเงินอยู่หลายแสนบาท พร้อมยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ซึ่งจากกล้องวงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุพบผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นคนร้ายซึ่งใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะโดยมีลักษณะเป็นวัยรุ่น ส่วนระเบิดที่ใช้ไม่ใช่ระเบิดแสวงเครื่องเพราะไม่มีไอซีไทม์เมอร์ ซึ่งเป็นตัวตั้งเวลา แต่ยังไม่สามารถระบุว่าเป็นระเบิดประเภทไหน
ส่วน พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 วอนสังคมอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นบึ้มการเมือง โดยขอให้รอผลการสืบสวนให้แน่ชัดเสียก่อน เพราะอาจเป็นแค่การปล้นก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตว่า หากเป็นการปล้นทำไมคนร้ายถึงกับต้องใช้ระเบิดที่มีอานุภาพร้ายแรงขนาดนี้เชียวหรือ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนว่าโจรปล้นเงินตู้เอทีเอ็มด้วยการใช้ระเบิดที่มีอานุภาพร้ายแรง และเป็นการก่อเหตุที่อุกอาจท้าทายอำนาจรัฐเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ระเบิดที่ใช้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถระบุชนิดที่แน่ชัด แสดงว่าต้องเป็นระเบิดชนิดพิเศษที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการประดิษฐ์และใช้แล้วไม่ทิ้งร่องรอย ซึ่งเหตุการณ์ระเบิดในอดีตหลังเกิดเหตุเมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยกู้วัตถุระเบิดเข้าไปตรวจสอบมักจะพบชิ้นส่วนหลักฐานที่สามารถระบุชนิดของระเบิดได้คร่าวๆ ทันทีว่าเป็นระเบิดชนิดไหน แต่ครั้งนี้กลับไม่สามารถระบุได้
ข้อน่าสังเกตประการต่อมา เหตุร้ายกลางกรุงครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจมีสัญญาณขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กลุ่มนักธุรกิจชั้นนำของญี่ปุ่นหลายร้อยคนเพิ่งจะยกคณะเข้าพบรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของไทย รวมทั้งเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ที่ทำเนียบรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในวงการเศรษฐกิจ โดยบรรดานักธุรกิจญี่ปุ่นแสดงความมั่นใจและพร้อมที่จะลงหลักปักฐานลงทุนในประเทศไทยด้านต่างๆ โดยเฉพาะในโครงการระเบียงเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก หรืออีอีซี ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทโดยไม่ย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศอาเซียนอื่นๆ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านและคู่แข่งของไทย
หากย้อนเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองของปีนี้เกิดขึ้น 3 เหตุการณ์ โดยเกิดจากฝีมือของคนคนเดียวคือ นายวัฒนา ภุมเรศ วัย 62 ปี วิศวกรไฟฟ้าอดีตพนักงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยครั้งแรก คือ การลอบวางระเบิดบริเวณหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเดิม ถนนราชดำเนินกลาง ต่อมาคือการลอบวางระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ ท้องสนามหลวง และที่เลวร้ายที่สุดคือระเบิดอย่างอุกอาจในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่ง นายวัฒนา ในฐานะแดงฮาร์ดคอร์ที่ฝักใฝ่ระบอบแม้วถูกจับกุมในเวลาต่อมาและขณะนี้ใช้กรรมอยู่ในคุก
การระเบิดป่วนเมืองของ นายวัฒนา จะมีผู้บงการอยู่หลังฉากหรือไม่ ยังเป็นปริศนา แต่ นายวัฒนา ยอมรับสารภาพว่านอกจากก่อเหตุระเบิดป่วนเมือง 3 ครั้งซ้อน ในปีนี้แล้ว ยังเคยลอบวางระเบิดป่วนเมืองอีกหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่ไม่ว่าเหตุระเบิดตู้เอทีเอ็มที่ห้างเทสโก้ โลตัส สาขากรุงเทพกรีฑาครั้งนี้จะเป็นแค่การปล้นหรือบึ้มป่วนเมือง สิ่งสำคัญคือต้องเร่งจับตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้โดยเร็วซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเพราะมีหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดชัดเจน ทั้งนี้เพื่อความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐและขยายผลการสอบสวนสร้างความชัดเจนว่าอะไรคือแรงจูงใจที่แท้จริงในการก่อเหตุอย่างอุกอาจของคนร้ายในครั้งนี้ เพราะเป็นไปได้เหมือนกันที่แรงจูงใจจะเป็นทั้งเรื่องของการปล้นและมีเบื้องหลังทางการเมืองแอบแฝงในขณะเดียวกัน โดยคนร้ายอาจเป็นมือปืนรับจ้างมาก่อเหตุโดยหวังผลทางการเมือง เพื่อสร้างข่าวครึกโครมหวังทำลายความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐและทำลายเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศ ขณะเดียวกันก็ปล้นเงินเพื่ออำพรางรูปคดีและเป็นผลพลอยได้
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี