ช่วงแรกหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากสภาวะรัฐล้มเหลวสิ้นเชิงและการนองเลือดของคนในชาติท่ามกลางเสียงสนับสนุนของมหาชนชาวไทย รวมทั้งมิตรประเทศจากหลายชาติโดยเฉพาะจีน แต่ชาติตะวันตกโดยเฉพาะมหาอำนาจมะกันอันตรายและกลุ่มประชาคมยุโรป(อียู)กลับตั้งหน้าตั้งตาบอยคอตต์ไม่ยอมรับอำนาจรัฐจากการรัฐประหารของคสช.
แต่เมื่อเวลาผ่านไปมหาอำนาจมะกันอันตรายรวมทั้งอียูซึ่งมักสร้างภาพอ้างหลักการประชาธิปไตยไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ก็เริ่มเห็นสัจธรรมที่ว่า แต่ละประเทศย่อมมีสภาพของปัญหาและต้องใช้วิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างและเหมาะสมกับแต่ละประเทศ ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้นช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาอยู่ภายใต้ระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ทุ่มลงทุนและใช้
ผลประโยชน์กลโกงทุกรูปแบบซื้อสส. ซื้อเสียง ซื้ออำนาจรัฐ ซื้อประเทศ ซื้อประชาธิปไตย และเมื่อได้อำนาจรัฐเป็นรัฐบาลก็ใช้อำนาจถอนทุนบวกกำไรโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬาร และใช้เสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมประพฤติชั่วร้ายตามใจชอบ จนเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาจากการออกมาแสดงพลังขับไล่ของมวลมหาประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ชาติตะวันตกด้านหนึ่งเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ปัญหาประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดเกิดจากประชาธิปไตยจอมปลอมที่จำเป็นต้องแก้ด้วยอำนาจนอกวิถีทางประชาธิปไตย ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นการสะท้อนว่า การที่ชาติตะวันตกไม่ยอมรับอำนาจรัฐที่มาจากการรัฐประหารที่จริงแล้วเป็นเพียงปาหี่สร้างภาพทางการเมือง เพราะโดยเนื้อแท้แล้วบรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกส่วนใหญ่เป็นอดีตนักล่าอาณานิคมที่ล้วนแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่าเรื่องหลักการประชาธิปไตย จึงไม่น่าแปลกใจที่มหาอำนาจชาติตะวันตกบางประเทศอยู่เบื้องหลังแทรกแซงสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารในหลายประเทศตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
การสามารถอยู่ในอำนาจอย่างยาวนานของคสช. ทำให้ชาติตะวันตกเริ่มตระหนักและเห็นความจำเป็นที่จะต้องคบค้าสมาคมกับไทยในฐานะเป็นประเทศทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงไม่แปลกที่มหาอำนาจอย่างมะกันอันตรายจะหันมากระชับความสัมพันธ์กับคสช.มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ไปเยือนสหรัฐฯอย่างเป็นทางการและพบปะที่ทำเนียบขาว
ล่าสุด คณะรัฐมนตรีต่างประเทศของอียูมีมติที่จะปรับความสัมพันธ์ด้านการเมืองกับไทยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกหลังจากที่คสช.ยึดอำนาจมานานกว่า 3 ปี โดยคณะรัฐมนตรีต่างประเทศอียูยังคงยืนยันถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างอียูและไทย อีกทั้งเล็งเห็นถึงคุณค่าของบทบาทที่ไทยมีในฐานะประเทศผู้ประสานการเจรจาและสนับสนุนการขยายความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศอียูกับอาเซียนในปัจจุบัน รวมทั้งมีความคืบหน้าในเรื่องสิทธิเสรีภาพและหลักสิทธิมนุษยชนต้องจนหลักประกันที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป
จากความคืบหน้าที่กล่าวมาข้างต้น คณะรัฐมนตรีต่างประเทศอียูจึงเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะเริ่มกลับมาปรับความสัมพันธ์ด้านการเมืองในทุกระดับกับไทยเพื่ออำนวยความสะดวกการเจรจาในประเด็นที่มีความสำคัญร่วมกัน โดยขอให้คณะกรรมาธิการยุโรปสำรวจความเป็นไปได้ในการกลับมาเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ)ระหว่างยุโรปกับไทยและการลงนามในกรอบข้อตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือเพื่อจะสามารถดำเนินการได้กับรัฐบาลพลเรือนที่ได้รับการเลือกตั้ง
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ให้ความเห็นว่าถือเป็นข่าวดีที่อียูปรับความสัมพันธ์ทางการเมืองกับไทยไปอีกขั้นหนึ่งซึ่งจะทำให้การติดต่อกันในทุกระดับที่เป็นทางการเดินหน้าไปได้ การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้นำระหว่างกันสามารถทำได้เลยโดยไม่มีการกีดกันเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุด จากนี้ไปคงได้เห็นการติดต่อกันมากขึ้นซึ่งจะเป็นผลดีต่อการลงทุนรวมทั้งการผ่อนคลายด้านการค้าระหว่างไทยกับอียู
จากท่าทีอียูสะท้อนให้เห็นสัจธรรมที่ว่าปัญหาของแต่ละประเทศย่อมต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับประเทศนั้นๆ เช่นเดียวกับประชาธิปไตยแบบไทยๆ หากยังเป็นธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมก็ต้องแก้ด้วยวิธีการพิเศษจนกว่าจะมีการปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี