สงกรานต์ที่ผ่านมา สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 7 วัน (11 – 17 เม.ย. 2561) เกิดอุบัติเหตุ 3,724 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 418 รายผู้บาดเจ็บ 3,897 คน
สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 40.28 ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 26.50
ส่วนโครงการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ”ที่มีผู้ฝ่าฝืนโดนยึดรถไป 16,288 คัน แยกเป็นจักรยานยนต์ 11,768 คัน รถยนต์ 4,520 คัน
น้ำเมายังเป็นปัญหาหลักของสังคม
เปิดงานวิจัยวงการแพทย์ระดับโลก พิษแอลกอฮอล์คร่าชีวิต ชี้ชัดดื่มเบียร์-เหล้า-ไวน์ เจอมหันตภัยโรคร้ายหัวใจพ่วงหลอดเลือด เปิดข้อมูลซดเบียร์มากกว่า 10 กระป๋องต่อสัปดาห์เสี่ยงตาย โรคหลอดเลือดสมองทุกชนิด เตือนหญิงชายดื่มจัดส่งผลอายุสั้นเร่งตายก่อนวัยอันควรเผยผลศึกษาไม่พบประโยชน์จากการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ
ศ.พญ.ดร.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ศ.พญ.ดร.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) เปิดเผยงานวิจัยยืนยันชัดว่า ระดับปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่มีระดับไหนที่ดื่มแล้วปลอดภัย แต่ชัดเจนว่าสัมพันธ์กับผลเสียทางสุขภาพโดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ โดยล่าสุดมีการอ้างอิงงานวิจัยเรื่อง “Risk thresholds for alcohol consumption: combined analysis of individual-participant data for 599 912 current drinkers in 83 prospective studies” ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2561 ในวารสาร Lancet ซึ่งเป็นวารสารที่เป็นที่รู้จักทางการแพทย์มากที่สุด
พบข้อมูลสำคัญคือ การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากกว่า 100 กรัมหรือ 7-10 หน่วยดื่มมาตรฐานต่อสัปดาห์ (1 หน่วยดื่มมาตรฐาน เท่ากับปริมาณของแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 10-14 กรัม หรือเทียบเท่ากับเบียร์ ที่น้อยกว่า 5 ดีกรี 1 กระป๋อง ไวน์ 1 แก้ว หรือเหล้า/สุรา 1 เป๊ก/ก๊ง) จะเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตโดยรวมอย่างต่อเนื่องทั้งในเพศชายและหญิง รวมถึงไม่พบประโยชน์ของการดื่มปริมาณ แอลกอฮอล์ที่ต่ำกว่า 100 กรัมต่อสัปดาห์
จุดประสงค์ของงานวิจัยนี้ คือ ศึกษาปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ต่อการเสียชีวิตโดยรวม และโรคหัวใจและหลอดเลือดชนิดต่างๆ ประกอบด้วย โรคหลอดเลือดสมองทุกชนิด โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจและหลอดเลือดอื่นๆ ที่ไม่รวมถึงโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ และหลอดเลือดชนิดอื่นๆ ได้แก่ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคความดันโลหิตสูง เสียชีวิตเฉียบพลันจากโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง มีผู้เข้าร่วมงานวิจัยซึ่งเป็นประชากรที่ดื่มแอลกอฮอล์และไม่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดต่างๆ จำนวน 599,912 คน ในประเทศที่พัฒนาแล้วกว่า 30 ประเทศ ซึ่งส่วนมากเป็นประเทศในแถบยุโรป เมื่อติดตามผู้เข้าร่วมวิจัยเฉลี่ย 7 ปี พบว่า มีคนเสียชีวิตโดยรวม 40,310 ราย และเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดต่างๆ จำนวน 39,018 ราย
ผลการศึกษานี้ยังชี้ชัดว่า หากดื่มปริมาณมากกว่า 100 กรัมต่อสัปดาห์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองขึ้นอีก 1.14 เท่า โรคหลอดเลือดหัวใจชนิดอื่นๆ 1.06 เท่า และการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดอื่นๆ 1.18 เท่า และพบว่า ไม่มีระดับปริมาณแอลกอฮอล์ที่ปลอดภัย หรือได้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นงานวิจัยดังกล่าวระบุว่า การดื่มเบียร์ หรือสุรากลั่น มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตโดยรวมมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มไวน์ การศึกษายังระบุว่า หากดื่มสุรา 100-200 กรัมต่อสัปดาห์ จะเสียชีวิตเร็วขึ้น 6 เดือน หากดื่ม 200-350 กรัมต่อสัปดาห์จะมีอายุสั้นลง 1-2 ปี และหากดื่มมากกว่า 350 กรัมต่อสัปดาห์ จะมีอายุสั้นลง 4-5 ปี เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้อยกว่า 100 กรัมต่อสัปดาห์
“ข้อสรุปที่สำคัญจากงานวิจัยนี้ ซึ่งนับว่าเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือและอ้างอิงได้ที่สุด ณ เวลานี้คือ เมื่อพิจารณาโรคหัวใจและหลอดเลือดแต่ละชนิดอย่างละเอียดแล้ว พบว่า ระดับปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่า 100 กรัมต่อสัปดาห์ (7-10หน่วยดื่มมาตรฐานต่อสัปดาห์) นั้นมีผลเสียต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิดและการเสียชีวิตรวมจากทุกสาเหตุ และไม่มีการดื่มในระดับปริมาณแอลกอฮอล์ใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อโรคหลอดเลือดหัวใจต่างๆ อย่างแท้จริง” ศ.พญ.ดร.สาวิตรี กล่าว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี