“ถ้าประเทศไทยยังเดินไม่ถูกทาง ยังไม่เป็นประชาธิปไตย ยังหาผู้นำที่เหมาะสมกว่าผมไม่ได้ถ้าต้องทำ (เป็นแคนดิเดตนายกฯ) ก็ต้องทำ” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (THE STANDARD)
ความเชื่อมั่นตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่ออย่างเดียวโดยไม่รู้ว่าตนมีความคิดแบบใดมีความสามารถจริงหรือไม่ มากน้อยแค่ไหนนั้น ถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจดั่งใจก็จะสร้างความลำบากแก่คนทั้งประเทศ อย่างที่รัฐบาลเศรษฐากำลังทำอยู่
คนส่วนมากเชื่อว่าคุณธนาธรจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความมั่งมีศรีสุขและแก้ปัญหาทั้งปวงที่หมักหมมถมทับประเทศนี้มานานนับร้อยปีได้ เช่นเดียวกับที่พวกเขาเชื่อคุณพิธา
แต่สำหรับผม...ไม่เชื่อว่าทั้งคุณธนาธรและคุณพิธาจะมีความสามารถบริหารประเทศได้อย่างที่ผู้เลือกพรรคก้าวไกลเชื่อมั่น
เพราะปัญหาหลักของประเทศไทยคือการคอร์รัปชั่น ที่เป็นเครือข่ายฝังรากลึกแน่นหนามานับแต่มีรัฐบาลไทยรักไทยแล้วทุกพรรคการเมือง ทุกรัฐบาล ต่างก็เคยประกาศจะกำจัดคอร์รัปชั่นกันมาแล้วทั้งนั้น แต่กลับมีคอร์รัปชั่นมากขึ้น แม้รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ก็ยังทำอะไรไม่ได้ ในที่สุดก็ไม่แตะ
การปฏิรูปตำรวจก็ยากยิ่ง เพราะไม่มีใครยอมเสียอำนาจและผลประโยชน์ในองค์กร การปฏิรูปการศึกษาและสาธารณสุขอาจจะง่ายกว่า แต่ก็ไม่ใช่จะสั่งซ้ายหันขวาหันได้ทุกเรื่อง เพราะในแต่ละกระทรวงก็มีกลุ่มแก๊งผลประโยชน์ทั้งนั้น
นโยบายเศรษฐกิจก็จะต้องรบหลายด้านด้านแรกคือเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภายในและภายนอกประเทศ รวมทั้งปัญหาความยากจน ทำให้การดำเนินชีวิตขัดสนและลำบาก ประการสำคัญจะหาเงินที่ไหนมาแจกและทำรัฐสวัสดิการตามนโยบายของพรรค ฯลฯ เพราะการจะยึดเอางบประมาณจากหน่วยงานต่างๆ นั้นมาใช้ไม่ใช่เรื่องง่าย
นโยบายที่ชี้เป็นชี้ตายของพรรคก้าวไกลก็คือการปฏิรูปมาตรา 112 มันจะสร้างปัญหาให้คุณธนาธรและพรรคก้าวไกลอีกมหาศาลโดยไม่จำเป็น
ทั้งหมดนี้เป็น “ปัญหาภายนอกตัว” ของคุณธนาธร ซึ่งแม้จะมีทีมงานและที่ปรึกษาระดับเทวดาทุกด้าน ผมก็ไม่เชื่อว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างที่โอ้อวดไว้ ซ้ำคุณธนาธรก็มี “ปัญหาภายในตัวเอง” ที่สำคัญมากกว่าปัญหาภายนอกด้วยซ้ำ
นั่นคือปัญหา “ความคับแคบทางความคิด”
“ความคับแคบทางความคิด” ของคุณธนาธรนั้นเกิดจากความเชื่อมั่นลัทธิมาร์กซ์ ซึ่งมันเป็นแค่กรอบหรือชุดความคิด หรือวาทกรรมหนึ่งเท่านั้น “โลกและปัญหา” ที่เขามองจึงถูกจัดเข้าไว้ในกรอบของชนชั้น คือ “ชนชั้นผู้กดขี่” กับ “ชนชั้นผู้ถูกกดขี่”
วิธีแก้ของเขาก็อย่างที่ลัทธิมาร์กซ์สอนคือ “ปฏิวัติ” แต่สภาพของสังคมไทยไม่มี “เงื่อนไขปฏิวัติ” จึงต้องใช้วิธีอื่นๆ ที่เรียกว่า “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” โดยพุ่งเป้าไปที่สถาบันกษัตริย์
เขาปรารถนาจะเป็นผู้นำการปกครอง โดยใช้ลัทธิมาร์กซ์ (ที่แปรรูปแล้ว) เป็นเครื่องมือขับเคลื่อน และวิธีที่เขาใช้มันก็คือการแบ่งแยกคนในชาติออกเป็น 2 ฝ่าย (ฝ่ายผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่ หรือชนชั้นผู้กดขี่กับผู้ถูกกดขี่)
เห็นได้จากวันเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่อย่างเป็นทางการ ที่เขาประกาศว่า “พรรคใดเห็นต่างกับพรรคเรา พรรคนั้นคือศัตรูของเรา” ซึ่งก็คือ “การแบ่งแยกแล้วปกครอง” นั่นเอง
(พรรคที่เห็นต่างจากพรรคของเขาก็คือพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม)
ผมจึงไม่เห็นคุณธนาธรมีคุณสมบัติของนักปกครองแม้แต่น้อย เขาเหมาะจะเป็นนักไล่ล่าอำนาจมากกว่า เช่นเดียวกับการไล่ล่ากำไรของพ่อค้านักธุรกิจ
แต่คุณธนาธรอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เขาคิดแค่ว่าจะสร้างสังคมใหม่ที่มีความเป็นธรรม-มีความเท่าเทียมได้ก็ต้องทำลายสังคมเก่า นั่นคือทำลายชนชั้นผู้กดขี่แล้วสถาปนาชนชั้นผู้ถูกกดขี่ขึ้นครองอำนาจแทน โดยมี “ตัวแทนของชนชั้นผู้กดขี่” เป็นผู้ปกครอง ซึ่งก็คือตัวเขาและพรรคก้าวไกลนั่นเอง
การขึ้นสู่อำนาจของคุณธนาธรและพรรคก้าวไกล จะนำเอาความแตกแยกที่รุนแรงของคนในชาติมาด้วย มันจะเป็นเสมือนการดวลกันของ 2 ฝ่าย ใครจะอยู่ใครจะไปก็ต้องรอชม!
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี