พรรคการเมืองที่ชอบอ้างประชาธิปไตย พอได้เป็นรัฐบาลทำไมถึงมีแต่เรื่อง ทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ปรับคณะรัฐมนตรี พอปรับเสร็จยังไม่ทันที่จะถวายสัตย์ รัฐมนตรีที่ถูกปรับก็ชิงลาออก พอแบ่งงานกันเสร็จ ก็มีรัฐมนตรีลาออกตามมาอีกหนึ่งคน หรือว่าประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนี้
ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทันทีหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ยังไม่ทันได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน
คนทั่วไปเข้าใจจากคำสัมภาษณ์ของ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ก็คิดเพียงว่า เพราะถูกถอดออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เหลือเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตำแหน่งเดียวเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้ ดร.ปานปรีย์ลาออก
แต่เบื้องลึกเบื้องหลังที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ และ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ไม่ได้บอก ก็เพราะหากนั่งอยู่ในตำแหน่งต่อไป เหนื่อยแน่ เหนื่อยเพราะมีนักโทษเทวดาเข้ามาวุ่นวายและแทรกแซงการทำงาน
เดิมทีได้มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร คงถูกบีบให้เปิดสถานทูตในต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่เป็นนักโทษหนีคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีโทษติดตัวอยู่ 5 ปี และทุกวันนี้เปลี่ยนสัญชาติเป็นพลเมืองเซอร์เบีย เข้ารายงานตัวตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อเดินเรื่องทำเอกสารต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก็จะได้เดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยโดยสะดวก แต่ ดร.ปานปรีย์ปฏิเสธ
ผ่านมาถึงวันนี้ ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นอีก ว่าทำไม “ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร” จึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นั่นก็เพราะการที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เดินเกมใต้ดินเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของประเทศเมียนมา โดยแอบพบกับผู้นำกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ ที่กำลังสู้รบกับรัฐบาลเมียนมา พร้อมทั้งยังได้จัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการกับคณะผู้นำรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลเมียนมาโดยตรงอีกด้วย-เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก
นอกจากเรื่องเมียนมา ก็ยังมีข่าวที่ถูกเปิดเผยออกมาว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ได้แอบไปพบกับ “อันวาร์ อิบราฮิม”นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ระหว่างที่ทักษิณเดินทางไปจังหวัดภูเก็ต ในช่วงวันที่ 29 เมษายน-2 พฤษภาคม ที่ผ่านมาซึ่งไม่มีรายละเอียดว่าทักษิณพบกับผู้นำรัฐบาลมาเลเซียด้วยเรื่องอะไร
แต่ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่า ทักษิณมีความประสงค์จะเดินทางไปดูสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หากแต่ว่าถูกนักการเมืองในพื้นที่ทัดทานเอาไว้ เพราะเกรงว่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งเป็นคนไทยมุสลิม ยังมีแค้นฝังใจกับทักษิณ ทั้งเหตุการณ์กรือเซะและเหตุการณ์ตากใบ ที่เกิดขึ้นในสมัยทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2547 สุดท้ายจึงต้องเปลี่ยนแผนมาพบกับนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย
อีกเรื่องหนึ่งการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่นั่งในตำแหน่งนี้ตามโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งก็คงจะคล้ายกับกรณีของ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร โดยภาพที่ออกมาในเวลานี้ คือลาออกเนื่องจากไม่พอใจเรื่องการแบ่งงานให้รับผิดชอบในกระทรวงการคลัง
จากเดิมก่อนที่จะมีการแบ่งงานใหม่ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ เคยกำกับดูแลการยาสูบแห่งประเทศไทย, สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน), สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน)
แต่หลังจากที่นายพิชัย ชุณหวชิร เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ ตามโควตาของพรรคเพื่อไทย ได้แบ่งงานให้นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยคลังตามโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติรับผิดชอบเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น คือ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)
ส่วนหน่วยงานอื่นๆ ที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ เคยรับผิดชอบ ปรากฏว่าถูกนายพิชัย ชุณหวชิร “ริบ” ไปแบ่งให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่มาจากโควตาพรรคเพื่อไทยสองคน คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ กับนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังลำดับ 1 และลำดับ 2
นั่นจึงเป็นการบีบทางอ้อมให้นายกฤษฎีกา จีนะวิจารณะ อดีตปลัดกระทรวงการคลังซึ่งถือว่าเป็นลูกหม้อของกระทรวงการคลัง และมีประวัติซื่อสัตย์สุจริต จำต้องตัดสินใจลาออกโดยปริยาย เพราะอยู่ไปก็ไม่มีงานให้ทำ ซึ่งเท่ากับว่า พรรคเพื่อไทยได้ยึดอำนาจกระทรวงการคลังกลับมาอยู่ในมืออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และจากนี้ไปก็สามารถขับเคลื่อนนโยบาย “ดิจิทัล วอลเล็ต” โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขวางทาง รวมทั้งทุกๆ เรื่องที่ “นักโทษเทวดา” สั่งให้ทำ
แปดเดือนของรัฐบาลชุดนี้ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทย นอกจากจะไม่มีผลงานปรากฏแล้ว ก็เห็นมีแต่ปัญหาไม่รู้จบ อันเป็นปัญหาที่พันอยู่กับคนในตระกูลชินวัตร และปัญหาที่พรรคเพื่อไทยมีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งสองปัญหาใหญ่ก็คือ เรื่องของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และเรื่องการแจกเงิน “ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท”
เรื่องของ “ทักษิณ ชินวัตร” แค่นี้ก็วุ่นพอดูแล้ว ยังไม่ทันพ้นโทษก็ “จุ้น” ไปทุกเรื่อง แต่เชื่อกันว่าหลังทักษิณพ้นโทษในเดือนสิงหาคมนี้ จะมีเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย
ไม่เพียงแต่เรื่องที่จะต้องพาน้องสาวคือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุกเท่านั้น ตัวทักษิณเองก็จะต้องทวงคืนทุกอย่างกลับมาให้ได้ดังเดิม ซึ่งมีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน คือ การถูกถอดยศพันตำรวจโท, การถูกเรียกคืนเครื่องราชย์ และการถูกถอดออกจากการเป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนเตรียมทหาร พร้อมกับการถูกเรียกคืนรางวัลเกียรติยศจักรดาว
ก่อนกลับประเทศไทย “ทักษิณ ชินวัตร”เคยทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ “Thaksin Shinawatra”เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ว่า
“ผมขออนุญาตอีกครั้ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ก่อนวันเกิดผมครับ ขออนุญาตนะครับ เกือบ 17 ปีแล้วที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว ผมก็แก่แล้วครับ...ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย และวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเองด้วยความรักผูกพันกับครอบครัว/แผ่นดินเกิดและเจ้านายของเรา”
“ทักษิณ ชินวัตร” ในวันนี้ไม่ได้ทำและปฏิบัติอย่างที่พูดแต่กลายเป็นว่า กลับมาเพื่อฟื้น “อำนาจ” คืนทั้งหมด!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี