สัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายเรื่องสนุกสนานกันไปตามๆ กันกับความฮอตที่คุณ Pat Hemasuk ได้ช่วยสรุปเอาไว้ และผมขออนุญาตนำมาขยายความต่อด้วยอีกแรงครับ
…บางครั้งการไม่มีความรู้พื้นฐาน หรือแกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้นั้น สามารถสร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับตัวเองและสังคมรอบข้างได้ ผมอยากเอาเรื่องที่มองว่าฮอตของวันนี้ และที่เป็นที่วิพากษ์บน
โซเชียลมาให้อ่านกันครับ
*** เรื่องแรก มีการเล่นการเมืองโดยพยายามแบ่งชนชั้นที่แต่เดิมไม่เคยมีมานานแล้ว เพราะโดยพื้นฐานคนไทยไม่มีผิวสี ไม่มีเชื้อชาติที่เด่นชัด พวกคิดตื้นๆ เลยต้องเอาชนชั้นขึ้นมาปลุกระดม โดยชูคำว่า “ไพร่” ซึ่งประเทศไทยเลิกไพร่ทาสมา 113 ปีแล้ว ถ้าจะนับที่ ร.5 ทรงให้อิสระลูกทาสทั้งประเทศแล้วก็ 144 ปี และคนบางคนนั้นค้าขายเป็นชอบทำงานที่เป็นอิสระก็มี บางคนก็ชอบทำงานที่มีความมั่นคงไม่ต้องดิ้นรนมากมายก็มีมาก จะกินเงินเดือนหรือเป็นเจ้านายตัวเองนั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ไม่ควรจะเหมาว่าคนกินเงินเดือนคือ ไพร่ ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมยังเล่นการเมืองแบ่งแยกประชาชนแบบเก่าที่ก๊อบปี้แนวทางของสหรัฐที่อยู่เบื้องหลังสนับสนุนให้ป่วนตะวันออกกลางเมื่อเกือบสิบปีก่อน (อาหรับสปริง นั้นประสบสำเร็จในการถล่มรัฐบาลซีเรียจนเกิดสงครามในเวลาต่อมา และการล้มรัฐบาลของยูเครน) การเมืองเน้นการแบ่งแยกประชาชน เน้นการปลุกปั่น (Demagogue) เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากการแยกฝั่ง ซึ่งผมมองว่ามันล้าสมัยไปแล้ว มีแต่คนด่ามากกว่าคนชม ซึ่งผมมองว่า ทิ้งค์แท็งค์ (Think Tank) ของกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีสมองสักเท่าไร
...กรณีนี้คือ การที่รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่มีการประกาศชื่อ และแต่งตั้งกันแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนก่อน นั่นคือ พลโทพงษกร รอดชมภู ที่ในหน้าข่าวสรุปกันว่าเป็นทหารแตงโมตัวจริงตั้งแต่ยุครัฐประหารเมื่อปี 2549 ที่ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว “ดูถูก” กลุ่มคนรุ่นใหม่ พนักงานบริษัทที่เพิ่งจบมาทำงานอย่างขันแข็ง อยู่ในวัยก่อร่างสร้างตัว หาประสบการณ์ โดยลงภาพถ่ายที่ธนาคารกรุงไทยสำนักงานใหญ่ ใจกลางเมืองย่านเพลินจิต ถนนสุขุมวิท แล้วพิมพ์กราดว่า “มาที่ตึกธนาคารกรุงไทยสำนักงานใหญ่ สุขุมวิท ดูสภาพมนุษย์เงินเดือนรอบๆ มาทานอาหารช่วงพักเที่ยง ผมเรียกว่า ไพร่สมัยใหม่ เราไม่ควรส่งลูกหลานเรียนเพื่อมามีสภาพเช่นนี้ครับ”
กระแสโซเชียลมีเดียต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามๆ กัน สงสัยกันว่าหรือนี่คือแนวคิดที่สะท้อนธาตุแท้ของคนพรรคใหม่พรรคนี้ และยังไม่ได้มีการออกมาขอโทษหรือแสดงความไม่เห็นด้วยแต่อย่างใดจากตัวหัวหน้าพรรคเอง ที่ก็มีกระแสข่าวที่ไม่ดีนักต่อประเด็น “แรงงาน” อยู่แล้วในธุรกิจของตัวเอง
*** เรื่องที่สอง ถ้า ปตท.ขายน้ำมันแพงจริง ปั๊มน้ำมัน Q8 ของคูเวตเจ้าแห่งน้ำมันตะวันออกกลางคงไม่เจ๊งหนีไปจากเมืองไทย ปั๊มของมาเลย์อย่างปิโตรนาสคงไม่ต้องขายกิจการให้ซัสโก้ เพราะการค้าน้ำมันในประเทศไทยนั้นเปิดเสรี ใครขายถูกเท่าไรก็ได้ โรงกลั่นทั้ง 6 โรงนั้น ปตท.มีหุ้นเพียง 3 โรง อีกสามโรงสามารถดัมพ์ราคาถล่มปั๊ม ปตท.ได้ถ้า ปตท.ขายแพงจริงๆ และโรงกลั่นทั้ง 6 โรงในประเทศเรานั้นกลั่นเพื่อใช้ในประเทศ 3/4 ขายออกไป 1/4 โดยประมาณ (รวมกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน) เมื่อไรจะเลิกปลุกปั่นความเท็จเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่าประเทศไทยมีน้ำมันใต้ดินอยู่มหาศาล ประเทศไทยขายน้ำมันแพงกว่าเพื่อนบ้าน ทั้งที่เวลานี้ราคาต้นทุนทุกยี่ห้อออกจากหน้าโรงกลั่นภายในประเทศนั้นไม่ต่างกันเลยกับมาเลย์และสิงคโปร์
…ต่อประเด็นนี้ก็เป็นผลพวงจากการที่ปตท.ประกาศปรับขึ้นราคาในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นแหละครับ แต่สุดท้ายตอนนี้ก็ลดลงอยู่ในสภาพที่ถือได้ว่า เบาลงแล้ว แต่ในช่วงนั้นเองก็มีกระแสข่าวการนำข้อมูลที่ไม่จริง ที่เป็นการเปรียบเทียบแบบเน้นดราม่าเทียบราคาน้ำมันของมาเลเซียแบบไม่ได้ทำความเข้าใจกับโครงสร้างราคาน้ำมันเอาซะเลย จนผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคนรวมถึงคุณ Pat Hemasuk เองด้วยก็ได้ออกมาช่วยกันชี้แจงข้อมูล
*** เรื่องที่สาม งบประมาณปี 2562 นั้นมีเนื้องานอินฟาร์สตรักเจอร์พื้นฐานของประเทศที่โดนกระตุ้นมากที่สุดที่เป็นงานหลักในรัฐบาลชุดนี้อยู่ไม่น้อย และจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเงินส่วนหนึ่งในก้อนนี้ต้องใช้คืนหนี้สินที่ฉิบหายไปไม่น้อยในช่วงรัฐบาลเก่าๆ ที่ไม่ใช่ก่อขึ้นมาในช่วงนี้และงบขาดดุลนั้นไทยเราใช้มานานแล้วไม่ใช่เพิ่งใช้และไม่ต่างกับประเทศอื่นๆ แต่จะบอกว่าหนี้สาธารณะ (Public debt) มากหรือน้อยนั้นต้องดูเทียบกับ ผลผลิตมวลรวมของประเทศด้วย Gross domestic product (GDP) หนี้สาธารณะของไทยนั้นมี 6.2 ล้านล้านบาท แต่เมื่อคิดกับ GDP นั้น เรามีหนี้เพียง 42% เท่านั้น ขณะที่ตัวเลขล่าสุดอเมริกามีเกินกว่าหนึ่งเท่าตัว (>106%) และญี่ปุ่นนั้นเคยสวิงขึ้นไปถึงเกินกว่าสองเท่าตัว (>230%) มาแล้ว อังกฤษ ฝรั่งเศส ตัวเลขอัพเดทก็เกินเท่าตัวกันหมด (110-120%) ดังนั้นหนี้สาธารณะของประเทศไทย 6.2 ล้านล้าน หรือ 42% GDP เมื่อเทียบกับประเทศอื่นนั้นสิวๆ มาก
…เรื่องนี้ขอยาวนิดนึงก็แล้วกันครับ หลายคนไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง งบประมาณรายจ่าย กับการกู้เงิน มีการเปรียบเทียบว่า ทียิ่งลักษณ์ขอกู้ 2 ล้านล้านค้าน แต่ทีประยุทธ์ผ่านพ.ร.บ.งบประมาณ 3 ล้านล้าน แถมสนช.นั่งหลับกลับไม่มีคนค้าน
ประเด็นนี้อธิบายโดยข้อมูลพื้นฐานง่ายๆ ก่อน โดยไม่ได้อยากจะอธิบายแทนรัฐบาลนี้หรอกนะครับ แต่ความจริงคือ ความรู้พื้นฐานเรื่องแบบนี้เราก็ต้องย้ำกันไปเรื่อยๆ เพราะความคลาดเคลื่อนจากโลกโซเชียลนั้นมีเยอะมาก ของยิ่งลักษณ์ที่ขอกู้ 2 ล้านล้านนั้นคือการขอกู้ใหม่นอกระบบ หลังจากที่ปีนั้นมีการผ่านพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปกติแล้วประมาณ 2.5 ล้านล้าน แปลว่า...“ถ้ายิ่งลักษณ์กู้นอกระบบผ่าน จะมีเงินใช้รวมกัน 4.5 ล้านล้านเลยทีเดียว” ซึ่งถ้าแยกก้อน คือ 2.5 ล้านล้าน คือ ก้อนที่เอามาโกงจำนำข้าวจนเจ๊งไป 6 แสนล้าน จากเม็ดเงินรวม 9 แสนล้าน และโครงการอื่นๆ อีกสารพัด ล่าสุดก็มีอดีตสส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย โดนจับฐานร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งก็เป็นคนสนิทของเจ๊ด.ผู้บงการโกงจำนำข้าวนั่นเอง ส่วน 2 ล้านล้าน กู้นอกระบบนั้น ศาลรัฐธรรมนูญท่านบอกว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญในเนื้อหา และวิธีการนั้นเลวทรามต่ำช้าเพราะสส.เพื่อไทย รับจ้างมาเสียบบัตรแทนกันตอนผ่านกฎหมายเสียอีก
กรอบวินัยการคลังมีเอาไว้ดูแลควบคุมอยู่แล้วครับว่า รัฐบาลจะทำอะไรที่ไม่เข้าร่องเข้ารอยไม่ได้ รัฐบาลนี้ หลายเรื่องอาจพลาด หรือไม่ดี เราก็ช่วยกันสอดส่องดูแล และแน่นอน ตัวเลขหนี้ต่อ GDP ของรัฐบาลนี้ต่ำกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มาก และรัฐบาลนี้ไม่ได้จะขอกู้นอกระบบเหมือนยิ่งลักษณ์ จึงไม่มีใครทักท้วงอะไร ส่วนการโกงจากฝ่ายราชการหรือฝ่ายทหารเองที่เป็นเรื่องในช่วงที่ผ่านมาก็เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า พลังของสื่อออนไลน์ พลังประชาชนช่วยกดดันให้หลายเรื่องต้องหยุดไปมากแค่ไหน
แถมอีกเรื่องก็แล้วกันครับ วันก่อนมีงานเสวนาโดย รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เขาเชิญพรรคการเมืองที่เป็นกระแสสังคมไปเสวนากันเรื่องเกี่ยวกับประชาธิปไตย ก็ปรากฏวาทะหลายๆ อย่างขึ้นมา มีทั้งพี่สอนน้อง น้องโดนสอนมวย อะไรต่ออะไรมากมาย ขออนุญาตรวมวาทะเด็ดๆ เอาไว้ในบทความวันนี้ก็แล้วกันครับ
มีตอนหนึ่งคุณอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึงแนวทางการมองปัญหาของประเทศเพื่อหาทางแก้ไขไว้ว่า.. “เราอย่ามองจากอดีตด้านใดด้านเดียว เก็บเกี่ยวทุกสถานการณ์มารวมกัน ไม่อยากใช้คำว่าอนาคตใหม่ เพราะอนาคตยังไงก็ใหม่อยู่แล้ว ...แต่เราต้องการอนาคตที่ดีกว่า”
ก่อนที่จะถึงช่วงสอนมวยน้องที่เป็นคลิปแชร์กันมากมายถอดคำได้ว่า คุณธนาธรจากพรรคอนาคตใหม่นั้น เกริ่นมาเสียยืดยาวด้วยคำพูดหลักๆ ตามเดิมพร้อมด้วยอวัจนภาษาท่วงท่าที่ซักซ้อมมาอย่างช่ำชอง ย้ำหนักหนาว่า...“การมีธุรกิจในประเทศไทยนั้นคือข้ออ่อน ไปเจรจาที่ต่างประเทศแล้วพบว่า ประเทศไทยคือข้ออ่อน เขาดูถูกประเทศไทยเราว่า มีรัฐบาลเผด็จการนั้น ทำให้ประเทศไทยล้าหลัง” แล้วเอะอะๆ ก็เปรียบเทียบกับประเทศที่เคยเจริญเท่าๆ กันในอดีตแต่ตอนนี้เขามาแซงเราไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือไต้หวัน !
คุณอภิสิทธิ์เลยสวนเข้าให้ว่า.. “ผมไม่แน่ใจนะครับว่าจะเรียก สิงคโปร์ ว่าเป็นประชาธิปไตยได้” อันนี้เบื้องต้นทุกคนทราบกันนะครับว่า ตั้งแต่มีประเทศนี้มา สิงคโปร์มีนายกฯ แค่ 2 คน คือ พ่อกับลูก แน่นอนมีการเลือกตั้งแต่การเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยทั้งหมด แต่สิงคโปร์ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของสิงคโปร์ สร้างชาติมาจนเจริญขนาดนี้ได้ต้องนับว่าสุดยอด แต่เขาใช้เปลือกของประชาธิปไตยฉาบไว้ แล้วเนื้อหารายละเอียดนั้นถามว่า เป็นเสรีจริงๆ ไหม ต้องตอบเลยว่า ภาครัฐควบคุมทุกอย่างเอาไว้ แต่ด้วยความที่คนน้อย และผู้นำฉลาดและไม่โกง เขาจึงอยู่พัฒนากันมาจนวันนี้
สัปดาห์ที่ผ่านมานี้บันเทิงแท้ๆ ครับ ว่าแล้วก็ขอกลับไปย้อนดูคลิปนั้นอีกครั้งดีกว่า...
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี