เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บริษัทศูนย์วิจัยธนาคารกสิกรไทยจำกัด (มหาชน) ได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่ 5ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าได้ปรับตัวเลขประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในปี 2561 จาก 4.0% มาเป็น 4.5% จากแรงหนุนภาคต่างประเทศนอกจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวสูงขึ้นแล้ว การใช้จ่ายในประเทศทั้งการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภาคเอกชนก็ปรับตัวดีขึ้น
ตลอดจนการเบิกจ่ายงบกลางปี 2561 รวมถึงหลายโครงการลงทุนภาครัฐจะทยอยเข้าสู่กระบวนการประกวดราคาจะเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปี 2561 ให้สามารถรักษาระดับการเติบโตอย่างต่อเนื่องข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าผลงานของดร.สมคิด จตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้แสดงออกมาให้เห็นว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลคสช.สร้างผลงานได้ตามเป้าหมายเป็นส่วนใหญ่แล้วใครที่กล่าวโจมตีรัฐบาลทหารคสช.ไว้คงต้องกลืนน้ำลายตัวเองเป็นแถวๆ
กลุ่มประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจด้านต่างประเทศที่เปราะบาง คือ อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีการขาดดุลทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการคลัง ขณะที่ มาเลเซียแม้ยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดแต่ว่า มีสัดส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ระยะสั้นในระดับที่วิกฤติ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกประเทศในกลุ่มนี้ถือเป็นประเทศแรกๆในภูมิภาคที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อป้องกันและสกัดเงินทุนไหลออกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 ที่ผ่านมา
ทำให้ทางการของประเทศเหล่านี้คงมีเครื่องมือเชิงนโยบายการเงินที่จำกัดมากขึ้นในระยะข้างหน้าสำหรับการรองรับความผันผวนของเงินทุนไหลออก จึงมีความเสี่ยงที่เงินลงทุนเก็งกำไรระยะสั้นที่จะไหลออกอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2561
กลุ่มประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่ง คือประเทศไทย ซึ่งมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงอย่างต่อเนื่องมีหนี้ต่างประเทศระยะสั้นต่ำเมื่อเทียบกับทุนสำรองระหว่างประเทศ ทำให้คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีน่าจะเผชิญแรงกดดันจากเงินทุนไหลออกในระดับที่จำกัดมากขึ้น ในส่วนจีนเอง แม้จะมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดควบคู่ไปกับการขาดดุลการคลัง แต่ทางการจีนมีทรัพยากรทางการเงินและเครื่องมือเชิงนโยบายที่หลากหลาย คงทำให้จีนประคองตัวผ่านความผันผวนในครั้งนี้ได้
อย่างไรก็ดี คงต้องคอยติดตามผลกระทบจากสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่หากยืดเยื้อคงเริ่มมีผลต่อภาคเศรษฐกิจจริงในระยะ 2-4 ปีข้างหน้า เป็นระยะวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น คงทำให้ประเด็นกังวลกลับไปสู่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีความเปราะบางด้านหนี้ภาคธุรกิจหรือหนี้ภาคครัวเรือน ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบได้ในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตามสถานะทางด้านเศรษฐกิจของกลุ่มมหาเศรษฐีและชนชั้นกลางที่มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ปีละ 2 ล้านบาท ถึง 3 ล้านบาท ของไทยน่าจะมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้นเพราะมีรายได้ในการใช้จ่ายมากพอในการพยุงฐานะเศรษฐกิจของประเทศปัจจุบันคนกลุ่มนี้จะมีประมาณ 12 ล้านคนขึ้นไป จากประชากรที่มีถิ่นพำนักในไทยประมาณ 72 ล้านคน หรือเท่ากับร้อยละ 16.66
ประชากรกลุ่มนี้จึงไม่น่าเป็นห่วงมากนักจะเห็นได้จากพบว่ามีชาวไทยกลุ่มนี้เดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศประมาณ 9-10 ล้านคน ในปีนี้แสดงว่ากำลังซื้อของประชาชนชาวไทยกลุ่มนี้ได้กลับมาแล้ว อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่น่าห่วงคือคนระดับรากหญ้าที่มีประมาณ 18 ล้านคน ยังมีภาวะรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งได้แก่ เกษตรกรที่กระจายอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือและภาคใต้
ซึ่งเป็นหน้าที่และภาระอันสำคัญของรัฐบาลซึ่งจะเป็นรัฐมนตรีที่ดูแลภาวะเศรษฐกิจได้แก่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยวและกีฬา นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการคลัง และนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีอุตสาหกรรม
ถ้าหากรัฐบาลสามารถบริหารจัดการให้คนไทยรากหญ้าทั้งในเมืองใหญ่และชนบทมีรายได้ดีขึ้นแน่นอนว่าประชาชนคนไทยก็คงจะพอใจ ส่วนกลุ่มประชาชนที่ยังรักระบอบทักษิณอยู่รัฐบาลคงไม่สามารถไปเปลี่ยนใจพวกเขาได้เพราะถึงแม้รัฐบาลทำดีอย่างไรพวกเขาก็ตำหนิและต่อว่าด่าทอรัฐบาลชุดนี้อยู่ดีนั่นแหละ เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็ต้องเอาหูทวนลมอย่าไปสนใจคนกลุ่มนี้ให้มากไปจนเสียเวลาทำงานบริหารชาติบ้านเมืองเลย
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี