“ใช้ง่าย ตัดเงินสะดวก มีคะแนนสะสม ได้เงินคืน สิทธิพิเศษมากมาย และไม่ต้องจ่ายคืนเต็มวงเงินก็ได้” สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลที่เพียงพอที่คนไทยหลายๆ คนหันไปใช้บัตรเครดิตกันมาก ถือเป็นธุรกิจของสถาบันการเงิน ที่สร้างความสะดวกให้กับลูกค้าในการจับจ่ายใช้สอย และสร้างกำไรให้กับสถาบันการเงินด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งของบัตรเครดิตเท่านั้น เพราะยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับภาวะหนี้บัตรเครดิต และเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ทำให้หนี้ภาคครัวเรือนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
แม้กันยายนปีที่แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อบัตรเครดิต เพื่อไม่ให้ปล่อยสินเชื่อบัตรเครดิตมากจนเกินไป โดยคาดหวังว่าจะชะลอหรือลดการขยายตัวของหนี้บัตรเครดิตได้ แต่กลับมีรายงานเมื่อต้นปีว่า หนี้เสีย (NPLs) ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตสูงถึง 51,000 ล้านบาท คิดเป็นบัตรเครดิตราวๆ 1 ล้านใบ จากทั้งหมดกว่า 19 ล้านใบ
เห็นกันอยู่แล้วว่ามาตรการที่ออกมา คงไม่ช่วยให้หนี้บัตรเครดิตลดลงมากนัก นั่นก็เป็นเพราะส่วนใหญ่เข้าใจสัญญาบัตรเครดิตเพียงด้านเดียวเท่านั้น
ก่อนอื่นต้องขีดเส้นใต้ 500 เส้นว่า “บัตรเครดิต” ไม่ใช่การ “กู้เงิน” ตามที่กฎหมายจำกัดเพดานไม่ให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี แต่บัตรเครดิตถือเป็นการประกอบธุรกิจของสถาบันการเงิน ที่ได้รับอนุญาตตามข้อ 5 ของประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 (ปว.58) ซึ่งเป็นธุรกิจที่สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้สูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้
ที่ผ่านมา ธปท. กำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าบริการต่างๆ รวมถึงเบี้ยปรับไว้ไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี แต่ก็เพิ่งจะมีการปรับลดอัตราลงมาให้เหลือร้อยละ 18 ต่อปี เมื่อครั้งตอนที่ ธปท. ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อบัตรเครดิตเมื่อเดือนกันยายน
ปีที่ผ่านมา แต่ก็คงไม่มีผลมากนัก เพราะว่าโครงสร้างการคิดหนี้และดอกเบี้ยบัตรเครดิตยังเป็นภาระต่อประชาชนเกินสมควร
ท่านรู้หรือไม่ว่าบัตรเครดิต ถ้าชำระเต็มที่รูดไปและจ่ายตรงเวลาที่เรียกเก็บ ก็จะไม่เสียดอกเบี้ยอะไร แต่ทว่า ดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นเมื่อเราชำระค่าไม่เต็มจำนวนโดย “การคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต ไม่เหมือนการคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน”
ตัวอย่างที่ 1 รูดบัตรเครดิตจ่ายไป 10,000 บาท แต่ชำระคืนที่อัตราขั้นต่ำร้อยละ 10 เพียง 1,000 บาท ยังไงก็จะโดนคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งหมดที่ใช้จ่ายทั้ง 10,000 บาท ไม่ใช่คิดจาก 9,000 บาท
ถ้าให้เห็นภาพชัดเข้าไปอีกคือ ตัวอย่างที่ 2 รูดบัตรเครดิตจ่ายไป 10,000 บาท จ่ายคืน 9,999 บาท เหลือค้างแค่ 1 บาท ดอกเบี้ยคิดจากยอด 10,000 บาทที่จ่ายไปนะครับ เอาว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายมากกว่าเงินต้นคงค้าง 1 บาทเสียอีก
บัตรเครดิตไม่ใช่การกู้ยืมเงิน ไม่ต้องหาคนมาค้ำประกัน หรือไม่ต้องเอาที่ดินมาจำนอง หลายคนเข้าใจว่า เบี้ยวหนี้ไปก็ไม่เป็นไร! นี่ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ เพราะหนี้บัตรเครดิตถือเป็นคดีทางแพ่ง ที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องให้ชำระหนี้และค่าเสียหายได้ ถ้าคดีน้อยกว่า 300,000 บาท ก็จะฟ้องต่อศาลแขวง แต่ถ้ามากกว่าก็จะฟ้องต่อศาลจังหวัด โดยมีอายุความ 2 ปี นับจากวันถัดไปจากวันที่ผิดนัดชำระหนี้ หากเจ้าหนี้ชนะคดีแต่ลูกหนี้ไม่ชำระคืนตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน ศาลก็จะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อสืบทรัพย์และออกหมายยึดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาด นำเงินมาชดใช้หนี้และค่าเสียหายต่อไป
การสืบทรัพย์หากพบว่าลูกหนี้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ใดหรือที่ดินที่ไหน เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีเค้าก็ไปปิดหมายยึดและออกประมูลขายทอดตลาดได้ ที่สำคัญไม่ใช่แค่เงินที่ต้องคืนบริษัทบัตรเครดิตเท่านั้น ค่าเพิกถอนการยึดอายัดที่ดินที่ต้องจ่ายให้กรมบังคับคดีก็แพงเอาเรื่องทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมูลค่าที่ดินที่โดนยึดไว้ด้วย
แม้จะยึดหลักการ “สัญญาต้องเป็นสัญญา” แต่ถ้าดูที่ไล่เลียงมา โดยเฉพาะการเก็บอัตราดอกเบี้ย มันไม่ค่อยเป็นธรรมกับผู้บริโภคเท่าไหร่ครับ แม้มีการใช้คืนบางส่วน แต่ก็ยังต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราเต็มวงเงินที่ใช้ไปอยู่ดี ทั้งที่เรื่องนี้มันควรจะแฟร์ๆ คือ เก็บอัตราดอกเบี้ยเฉพาะเงินที่ค้างอยู่เท่านั้น
ผมเองเมื่อครั้งเป็น สส. เคยเสนอร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. ... ที่มีหลักการคุ้มครองผู้บริโภค และให้คิดอัตราดอกเบี้ยจากยอดเงินที่คงค้างอยู่เท่านั้น ซึ่งร่างกฎหมายนี้ผ่านวาระที่ 1 ในชั้นรับหลักการ ด้วยคะแนนเสียงแบบเอกฉันท์ 330 เสียง เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2555 และผ่านการพิจารณาเห็นชอบในชั้นคณะกรรมาธิการด้วยแล้ว แต่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ไม่ได้ร่วมผลักดันแนวทางการคิดดอกเบี้ยตามร่างกฎหมายของผม กฎหมายบัตรเครดิต ถูกวิปรัฐบาลเลื่อนการพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ออกไป โดยเอากฎหมายอื่นๆ ขึ้นมาแซงคิวตลอด จนสุดท้ายมีร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม มาเข้าสภาจนวงแตก ลาออก ยุบสภากันไปในเดือนธันวาคมปี 2556
ผมเสียดายเหมือนกันครับ ที่ร่างกฎหมายนี้ไม่ได้รับการผลักดันต่อ ทั้งที่เป็นทางออกช่วยเหลือประชาชนได้จำนวนมาก ถ้ามีโอกาสก็อยากเห็นการแก้ไขกฎหมายเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริงสักทีครับ ประชาชนจะได้ไม่ต้องมาจมอยู่กับการแบกรับดอกเบี้ยอย่างไม่เป็นธรรม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี