มีคนส่งวีดีโอภาพถ่ายคฤหาสน์ของ “ทรัมป์” (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีอยู่หลายแห่ง ในหลายประเทศ ล้วนงดงาม ใหญ่โตอลังการ แสดงให้เห็นความสำเร็จในการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ทำให้อดจะนึกถึงนักธุรกิจการเมืองของไทย ทักษิณ ชินวัตร ผู้ร่ำรวย มีคฤหาสถ์หลายหลัง ในหลายประเทศ แม้จะไม่อลังการเทียบเท่าของทรัมป์ แต่ก็ยิ่งใหญ่ หาคนไทยเทียบได้ยาก ซึ่งแสดงให้เห็นความสำเร็จในธุรกิจโทรคมนาคมผูกขาดในบ้านเรา
นักธุรกิจที่ไปเป็นผู้บริหารประเทศแล้วประสบความสำเร็จในอดีตของหลายประเทศก็มีมาก แต่ดูการบริหาร การทำงานของทรัมป์และทักษิณแล้ว ก็อดจะถอดบทเรียนไม่ได้ว่า การบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ต่างหรือเหมือนกับการบริหารเศรษฐกิจของประเทศให้ประสบความสำเร็จ ?
จึงขอเสนอความคิดเบื้องต้น เพื่อจะได้ช่วยกันคิดต่อเติมแก้ไขให้ถูกต้อง ลึกซึ้งมากขึ้น
1. การบริหารธุรกิจ มีจุดมุ่งหมายชัดเจนเป็นสำคัญ คือ แสวงหากำไรสูงสุด
เรื่องอื่นๆ เช่น ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
ช่วยดูแลคนจนและคุ้มครองผู้บริโภค เป็นวัตถุประสงค์รองมากๆ จนกลายเป็นวัตถุประสงค์ที่ตกแต่งให้ดูดีก็มี
ส่วนการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ มีจุดมุ่งหมายผสม ทั้งการเพิ่มรายได้ให้ประเทศ การ
กระจายรายได้กระจายโอกาสความทัดเทียม และสร้าง
เสถียรภาพของเศรษฐกิจ (ไม่ให้เปลี่ยนแปลงหวือหวา โดยเฉพาะราคาสินค้า ค่าเงิน และการจ้างงาน)
2. การบริหารธุรกิจต้องการขยายส่วนแบ่งตลาดของตน ต้องการครอบครองสัดส่วนของสินค้าในตลาดให้มาก ถ้าได้มีอำนาจเหนือตลาด หรือมีอำนาจผูกขาด ก็จะยิ่งทำกำไรได้มากขึ้น
ส่วนการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ ต้องการให้มีการแข่งขันของผู้ผลิตมากราย เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคส่วนใหญ่มีทางเลือก ไม่ถูกผูกขาดผูกมัดเป็นเบี้ยล่าง
3. การบริหารธุรกิจต้องลดต้นทุนการผลิต (ตราบที่ไม่ลดประสิทธิภาพการผลิต) ให้มากที่สุด เพื่อหวังว่าจะได้มีกำไรสูงสุด
ส่วนการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ ต้องให้การผลิตของประเทศลดต้นทุนมากที่สุด แต่ต้องคำนึงถึงหน่วยผลิต ธุรกิจขนาดเล็กที่ด้อยโอกาส คนว่างงาน คนขาดโอกาสในการแข่งขัน
4. การบริหารธุรกิจต้องพยายามลดการจ่ายภาษี ให้จ่ายภาษีแต่เฉพาะจำเป็น และน้อยที่สุด
การบริหารเศรษฐกิจของประเทศ ต้องการเก็บภาษีจากผู้มีรายได้และผู้มีความสามารถจ่ายภาษีให้มาก ส่วนคนยากจนและอาชีพบางอย่างที่ต้องการส่งเสริมหรือช่วยเหลือก็ลดหย่อน
5. การบริหารธุรกิจต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กับการลดต้นทุนการผลิตของตน ธุรกิจที่ดีก็ให้น้ำหนักต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งอากาศ น้ำ ที่ดิน และคนรอบข้างมากหน่อย แต่ธุรกิจที่เน้นการลดต้นทุนเพื่อกำไรสูงสุดก็แอบทิ้งทำลายสิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างแล้วโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้มากเพื่อกลบเกลื่อน สร้างภาพ
ส่วนการบริหารเศรษฐกิจของประเทศต้องดูผลตอบแทนรวมของประเทศ ต้องคำนึงและรวบรวมผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งหมด เป็นต้นทุน และต้องคำนึงถึงผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว
6. การบริหารธุรกิจจะเลือกผลิตสินค้าและบริการที่มีความต้องการ แต่ไม่มีคู่แข่งผลิตมากนัก เพราะจะทำให้ได้กำไรรวดเร็วและจำนวนมาก
การบริหารเศรษฐกิจของประเทศ จะต้องเลือกว่ารัฐจะเข้าทำวิสาหกิจและลงทุนแต่เฉพาะกิจการที่เป็นที่ต้องการของสังคม แต่ธุรกิจเอกชนทำไม่ได้ เช่น กิจการสาธารณูปโภคที่รัฐต้องผูกขาดดำเนินการ หรือใช้อำนาจรัฐในการเวนคืน รอนสิทธิประชาชน หรือเป็นกิจการลงทุนขนาดใหญ่ที่ธุรกิจเอกชนไม่สามารถลงทุนได้ แต่รัฐต้องจำกัด
บทบาทวิสาหกิจของรัฐ ไม่ให้ไปดำเนินกิจการแข่งขันกับเอกชน เพราะรัฐมีอำนาจรัฐและขนาดของการลงทุนที่ใหญ่กว่า แต่รัฐพึงส่งเสริมให้เอกชนแข่งขันกันมากๆ และรัฐคอยเก็บภาษีจากผลประกอบการแทน
7. การบริหารธุรกิจสามารถจะเลือกผลิต หยุดผลิต เปลี่ยนสถานที่ผลิต ไม่พอใจจะผลิตประกอบการประเทศหนึ่งก็ย้ายแหล่งผลิตและประกอบการได้ง่ายกว่า
การบริหารเศรษฐกิจของประเทศไม่สามารถจะย้ายฐานการผลิตได้ง่าย แต่ต้องบริหารภายใต้หน่วยผลิตของเอกชนและสังคมที่เลือกจะประกอบการในขอบเขต เขตแดน และเขตอำนาจของรัฐ การออกกำหนดกฎเกณฑ์และกฎหมายจะต้องระมัดระวังไม่ให้ธุรกิจเอกชนหนีไปลงทุนประกอบการในต่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เอาใจธุรกิจเอกชน ทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนประกอบกิจการ ใช้ทรัพยากรของประเทศ โดยที่คนทั่วไปในสังคมได้ประโยชน์น้อยนิด
สิ่งที่ผู้บริหารประเทศต้องพึงสังวร
1. ต้องสังวรว่า การบริหารธุรกิจต่างกับการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งเป้าหมาย ตัวแปร ปัจจัย และตัวละครที่เกี่ยวข้อง
2. นักบริหารธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง ไม่จำเป็นต้องบริหารเศรษฐกิจได้ดี เพราะเงื่อนไขแตกต่างอย่างมาก โดยเฉพาะนักธุรกิจที่คุ้นเคยประสบความสำเร็จจากการผูกขาด วิ่งเต้นเกาะอำนาจรัฐ หลีกเลี่ยงซิกแซ็กไม่จ่ายภาษี และใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก
3. นักเศรษฐศาสตร์ที่สามารถบริหารเศรษฐกิจของประเทศ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าจะประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจ และที่ลงทุนทางธุรกิจแล้วขาดทุนก็มาก
ความลงท้าย
เปรียบเทียบความเหมือน ความแตกต่าง ระหว่างบริหารธุรกิจและบริหารเศรษฐกิจของประเทศมาแล้ว ทำให้ได้คิดว่า การบริหารกองทัพต่างหรือเหมือนกับการบริหารประเทศอย่างไร?
ผู้ที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการบริหารของตน จะนำเอาความคุ้นเคยจนเป็นวัฒนธรรม เป็นนิสัย กำหนดวิธีคิดของตนอย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น ผู้บริหารกองทัพจะบริหารประเทศในระบอบเสรีประชาธิปไตย ที่ต้องให้เสรีภาพ ให้ทางเลือก ให้แข่งขัน โดยเฉพาะในระบบอุปถัมภ์ ที่มีผู้วิ่งเต้น ทวงบุญคุณ ขอความช่วยเหลืออุปถัมภ์ อย่างไร?
ที่สำคัญที่สุด จะรู้จักกระจายอำนาจ กระจายผลประโยชน์ที่ปัจจุบันผูกติดมากับการกระจุกอำนาจอย่างไร?
ใครช่วยเปรียบเทียบ “การบริหารกองทัพ กับ การบริหารประเทศ ภายใต้ระบอบเสรีประชาธิปไตย” หน่อยได้ไหมครับ?
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี