จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครราชสีมา เมื่อจ่าสิบเอกนายหนึ่งใช้อาวุธปืนบุกยิงผู้บังคับบัญชาที่บ้านพัก จากนั้นคนร้ายเข้าไปสังหารเจ้าหน้าที่ในค่ายทหาร ขโมยอาวุธจากคลังอาวุธหนีมายังห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราชและก่อเหตุกราดยิงประชาชนจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย หลังจากเกิดเหตุความรุนแรงนี้ มีหลายหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบสาเหตุที่เป็นชนวนที่ทำให้นายทหารผู้นี้ในการก่อเหตุขึ้น และสันนิฐานว่าสาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา และการใช้อำนาจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ในกองทัพ
ในเวลาต่อมา เฟซบุ๊คเพจ ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม โดยมีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เป็นประธานชมรมฯ ได้โพสต์ข้อความพร้อมเปิดเผยเอกสารที่อ้างว่าเป็นเอกสารหลักฐานว่า จ.ส.อ.จักรพันธ์ ผู้ก่อเหตุ กู้เงินเคหะสงเคราะห์ของกองการออมทรัพย์ กรมสวัสดิการทหารบก (อทบ.) ซึ่งนายอัจฉริยะสรุปว่า เอกสารเหล่านี้เป็นหลักฐานว่ามีการทุจริตเงินส่วนต่างค่าบ้านอันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ คนร้ายไปทวงเงินจากผู้บังคับบัญชาและเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ จึงนำไปสู่การก่อเหตุยิงในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่ามีนายทหารชั้นผู้น้อยแจ้งข้อมูลมาว่ามีประสบการณ์ในลักษณะเช่นเดียวกันและระบุว่าการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านพักนั้น เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรเป็นเครือญาติของนายทหารที่นำโครงการมาเสนอขายในราคาที่ถูก พร้อมดำเนินการจัดหาเจ้าหน้าที่ดูแลด้านการอนุมัติเงินกู้ของกรมสวัสดิการทหารบกในการประเมินราคาบ้านให้สูงกว่าความเป็นจริงเพื่อขออนุมัติเงินกู้ในวงเงินที่สูง และยังมีผู้บังคับบัญชาเซ็นหนังสือรับรองเพื่อให้การอนุมัติเงินกู้โดยง่าย
เมื่อมีการสืบหาข้อเท็จจริงและนำมาเผยแพร่สู่สาธารณะ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก จึงได้ออกมาปฏิเสธว่าสาเหตุในการก่อเหตุที่มีการเผยแพร่ข้อมูลไม่เป็นความจริง และในกองทัพกรมสวัสดิการทหารบกไม่มีการเงินทอน โดยให้ความเห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการกู้เงินส่วนตัวบุคคลเท่านั้น
จนเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศปฏิรูปกองทัพเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาการทุจริตในกองทัพ มีการเปิดตัวศูนย์รับแจ้งเบาะแสและเรื่องร้องเรียนจากกำลังพลผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ได้แก่1) Website ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกองทัพบก www.rta.mi.th 2) Youtube กองทัพบก Royal Thai Army 3) Facebook ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก 4) Instragram royalthaiarmy_pr 5) Twitter Royal Thai Army 6) Line official id : @royalthaiarmy และ 7) สายตรงผู้บัญชาการทหารบกสามารถติดต่อได้ทางหมายเลข 0-2018-7330
โดยกระบวนการแจ้งเบาะแสนั้น ผู้แจ้งจะต้องกรอกรายละเอียดเรื่องที่ต้องการร้องเรียนเข้าสู่ระบบ มีการระบุข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อเป็นการยืนยันตัวตน และแจ้งเรื่องร้องเรียนอย่างละเอียด หลังจากนั้นผู้ดูแลระบบจะดำเนินการตรวจสอบข้อมูล หากรับเรื่องร้องเรียนจะมีการแจ้งเลขที่รับเรื่องไปยังผู้แจ้ง และดำเนินการสรุปเรื่องคำร้องทุกข์นำเรียนผู้บัญชาการทหารเพื่อพิจารณาส่งคำสั่งให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ก่อนรายงานผลกลับไปที่ผู้ร้องเรียนหรือหน่วยที่เกี่ยวข้อง เมื่อเรื่องร้องเรียนนั้นๆ ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ดูแลระบบจะเปลี่ยนสถานะเรื่องร้องเรียนสิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำเสนอข่าวการเปิดช่องทางการแจ้งเบาะแสและขั้นตอนการแจ้งเบาะแสข้างต้น กระแสความคิดเห็นของประชาชนในโลกออนไลน์กลับไม่เชื่อมั่นช่องทางดังกล่าวเนื่องด้วยกระบวนการแจ้งเบาะแสเป็นระบบที่จัดทำภายในของกองทัพเอง จึงเกิดการตั้งถามจากประชาชนมากมาย เช่น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าการแก้ไขปัญหาอย่างโปร่งใส ครบถ้วนกรณีนายทหารชั้นผู้น้อยทำการร้องเรียนผู้บังคับบัญชาจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าจะได้รับความคุ้มครอง หรือไม่มีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน
ในเรื่องนี้ เฟซบุ๊คเพจ “ต้องแฉ” ได้เผยแพร่ประเด็นช่องทางการแจ้งเบาะแสของกองทัพดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งมีแฟนเพจเข้ามาแสดงความเห็น โดยส่วนใหญ่มีข้อกังวลในขั้นตอนการร้องเรียนที่ผู้ร้องเรียนต้องแจ้งข้อมูลส่วนบุคคล การแจ้งชื่อ-นามสกุล ยศหรือตำแหน่ง เป็นการชี้ตัวผู้ร้องเรียนอาจทำให้ข้อมูลผู้ร้องเรียนจะถูกเปิดเผย และไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกกลั่นแกล้งจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการร้องเรียน ข้อกังวลอีกประการหนึ่ง คือ เห็นว่าการดำเนินการที่ล่าช้าอาจทำให้เรื่องร้องเรียนเงียบไป นอกจากนี้ ยังมีผู้เสนอแนวทางให้มีการตั้งสภาตั้งคณะกรรมาธิการรับเรื่องร้องทุกข์เฉพาะ จากทั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการชั้นผู้น้อย เพื่อให้ดำเนินสอบสวนพร้อมทั้งกำหนดระยะเวลาการสอบสวนอย่างชัดเจน
ผู้เขียนจึงขอนำเสนอเรื่องการแจ้งเบาะแสภายในองค์กร (Whistleblowing) ว่าควรมีแนวทางอย่างไรที่จะทำให้มีผู้เข้าแจ้งเบาะแส โดยสรุปการศึกษาจากโครงการวิจัยเรื่องการศึกษาวิจัยประเมินประสิทธิภาพของผู้แจ้งเบาะแส จัดทำโดยคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยการสนับสนุนจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่จะทำให้ผู้ให้เบาะแสสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพประกอบด้วย 4 ประการดังนี้
ประการแรก การให้ความคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสอย่างเพียงพอ การคำนึงถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่ชี้ตัวผู้แจ้งเบาะแสถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก การแจ้งเรื่องร้องเรียนโดยการระบุข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การกรอกชื่อ-นามสกุล เลขที่บัตรประชาชน ยศหรือตำแหน่งงาน และที่อยู่ ทำให้เกิดข้อกังวลสำหรับผู้แจ้งเบาะแสในเรื่องการถูกคุกคามหรือความปลอดภัยผู้แจ้งเบาะแส ดังนั้น การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในการแจ้งเรื่อง ประการที่สอง รัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การเยียวยาผู้แจ้งเบาะแสที่ได้รับผลร้ายอันสืบเนื่องจากการที่ตนได้ให้ข้อมูลอันเป็นเบาะแส และดำเนินมาตรการคุ้มครองพิเศษเพื่อป้องกันผลร้ายอันอาจจะเกิดขึ้นซ้ำอีก ประการที่สาม ควรกำหนดให้มีการจ่ายเงินรางวัลสำหรับผู้แจ้งเบาะแสเพื่อเป็นการจูงใจและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแสได้ และประการสุดท้าย การมีระบบรับแจ้งที่ดี สะดวกรวดเร็ว เข้าถึงง่าย ไม่ก่อให้เกิดภาระต่อผู้แจ้งเบาะแส และมีความปลอดภัยต่อตัวผู้แจ้ง ย่อมจูงใจให้ผู้แจ้งเบาะแสสมัครใจที่จะให้ข้อมูลอันเป็นเบาะแส
นอกจากนี้องค์กรด้านความโปร่งใสระดับนานาชาติ (Transparency International) เคยมีการเสนอแนะถึงการแจ้งเบาะแสไว้ว่า ในระดับของการแจ้งเบาะแสภายในองค์กรจะต้องมีความชัดเจนในขั้นตอนดำเนินการ การเก็บความลับ ระยะเวลาในการสอบสวน และความโปร่งใส เพื่อให้การแจ้งเบาะแสเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เขียนจึงยกตัวอย่างโครงการต้นแบบ สังคมดี๊ดี...สองนาทีง่ายๆ (Citizen Feedback) ที่เกิดจากความริเริ่มของแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยใน การต่อต้านการทุจริต CAC โดยความร่วมมือของ สมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย (TMRS) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACTและ HAND Social Enterprise ที่เปิดให้ประชาชนประเมินบริการของหน่วยงานรัฐและสามารถแสดงความเห็นในเรื่องความโปร่งใสการให้บริการ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าสามารถนำมาปรับใช้ในการแจ้งเบาะแสภายในองค์กรได้ เช่น เครื่องมือในการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนที่มีความสะดวกและใกล้ตัวผู้แจ้งเบาะแส สามารถประเมินและการแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่มีการให้ข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลเป็นการชี้ตัวบุคคล มีความปลอดภัยในด้านข้อมูล มีหน่วยงานอื่นเป็นตัวกลางดำเนินการด้านข้อมูลก่อนนำส่งถึงหน่วยงานที่มีการประเมิน และมีหน่วยงานกลางเข้าร่วมรับการแจ้งเบาะแส ซึ่งอาจสร้างความเชื่อมั่นได้มากกว่าหน่วยงานดำเนินการด้วยตนเอง
ดังนั้นหากกองทัพบกต้องการทำให้ช่องทางการแจ้งเบาะแสมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการในเรื่องการระบุข้อมูลส่วนบุคคลของผู้แจ้ง การมีตัวกลางซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสียเข้ามาดำเนินการ สร้างระบบการทำงานให้มีความชัดเจน โปร่งใส กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการ และมีมาตรการในการดูแลรักษาข้อมูลให้เป็นความลับ การมีแนวทางคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสและเยียวยากรณีผู้แจ้งเบาะแสได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นระบบแจ้งเบาะแสของกองทัพได้อย่างดี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี