วันเสาร์ ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ยังไม่ทันผ่านพ้นเดือนแรกของปีใหม่ ท่ามกลางปัญหาราคาของกินของใช้ที่แพงขึ้น ไม่ว่าจะเนื้อหมู ไข่ไก่ น้ำมันปาล์ม และอีกหลายอย่าง ขนาดยังไม่ถึงเทศกาลตรุษจีน ไม่รู้ว่าพอถึงช่วงนั้นราคาสินค้าต่างๆ จะขึ้นไปอีกเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหมูที่เป็นมหากาพย์เถียงกันไปมาหลายสัปดาห์ว่า สรุปแล้วโรคระบาดเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เกิดขึ้นนานแค่ไหน และเป็นสาเหตุที่ทำให้หมูแพงหรือเปล่า การเข้าถึงข้อมูลเรื่องดังกล่าวค่อนข้างลำบากเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามบ่ายเบี่ยงเลี่ยงการตอบคำถามสื่อ จนมีนักข่าวไปสอบถามนายกรัฐมนตรีว่าจะแก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพงอย่างไรได้บ้าง ควรมีการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำหรือไม่ คำตอบของนายกรัฐมนตรีคือ “จะเอาเงินมาจากไหน เธอพูดก็ได้หมด แต่เธอก็ต้องหาเงินมาให้ได้ก่อน รัฐบาลจะต้องมีเงินก่อน” (17 ม.ค. 2565)
พอได้ยินแบบนี้แล้ว เลยอยากจะชวนท่านผู้อ่านทุกท่านย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 รวมถึงทวนความจำให้กับท่านนายกฯ ที่วันนั้นบนถนนทุกสายทั่วประเทศ เราต่างเห็นป้ายหาเสียงของหลายพรรคการเมือง ที่นอกจากจะมีรูปผู้สมัคร หัวหน้าพรรคไปจนถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแล้วยังเห็นการประชันนโยบาย ที่หลายพรรคนำเสนอเพื่อพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตและจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคแกนนำรัฐบาลที่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เคยนำเสนอนโยบายต่างๆ ไว้ เช่น
“ดันค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท” “เงินเดือน ป.ตรี 2 หมื่น อาชีวะ 1.8 หมื่น”.
“เด็กจบใหม่ยกเว้นภาษี 5 ปี” “ยกเว้นภาษีพ่อค้าแม่ค้า ออนไลน์ 2 ปี” “ลดภาษีบุคคลธรรมดา 10%”
แต่จนถึงวันนี้ผ่านเวลาไป 2 ปีกับอีกเกือบ 200 วันสิ่งที่เห็นเดินหน้าคือ “เลือกความสงบจบที่ลุง”เพราะจนวันนี้สงบเงียบไปหลายนโยบายที่พรรคแกนนำรัฐบาลหาเสียงไว้ ที่เห็นจะไม่เงียบและเสียงดังมีความเคลื่อนไหวอยู่ 2 อย่าง คือ เสียงของท่านนายกฯ และเสียงของ สส. พรรครัฐบาลที่ทะเลาะกันเอง จนเปลี่ยนหัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลไปสองครั้ง เปลี่ยนที่ทำการพรรคไปสองหน มาถึงเลขาธิการพรรคคนล่าสุดโดนพรรคตัวเองขับออก หัวหน้าพรรคชุดแรกไปตั้งพรรคใหม่อีกรอบแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่เห็นเลยคือ นโยบายที่ได้นำเสนอไว้กับพี่น้องประชาชนได้ถูกผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ซ้ำร้ายกลับโดนถามกลับจากผู้นำรัฐบาลว่า “จะเอาเงินจากไหน” ในขณะที่หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า (11 ม.ค. 2565)คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ กรอบงบประมาณปี 2566 ให้กองทัพอากาศ พิจารณาจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีของกองทัพอากาศ เพื่อทดแทนเครื่องบิน F16งบประมาณ 13,800 ล้านบาท
แต่จะว่าพรรครัฐบาลทุกพรรคก็ไม่ได้ เพราะก็มีบางพรรคที่พยายามทำตามนโยบายหาเสียงไว้ทั้งที่เห็นชัดๆ ก็คงจะเป็นเรื่องการผลักดันกัญชาให้ถูกกฎหมาย (ที่วันนี้ยังเถียงกันอยู่ว่าปลูกได้หรือปลูกไม่ได้)และนโยบายประกันรายได้เกษตรกร (แต่ก็ยังแก้ปัญหาราคาสินค้าแพงไม่ได้) ผ่านการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านรู้ด้วยการใช้งบประมาณของกระทรวงมาทำสื่อโฆษณาโปรโมทนโยบาย จัดงานอีเว้นท์ใส่รูปรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงติดไปทั่วทุกหนแห่ง
แม้ว่ามีกฎหมาย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ระบุไว้ใน มาตรา 57 ว่า “การกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ใช้ในการประกาศโฆษณาให้คำนึงถึง… วงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย และผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย” ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแท้จริงแล้วก่อนการเลือกตั้งพรรคแกนนำรัฐบาลได้ดำเนินการตามมาตรา 57 ไว้อย่างไร และทำไมในวันนี้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคถึงบอกว่า “จะเอาเงินจากไหน”
เอาเป็นว่าเราจะไม่ตั้งความหวังว่าแต่ละพรรคจะออกมาโปรโมทว่าตัวเองทำอะไรไปบ้างอยู่ฝ่ายเดียวแต่เราทุกคนในฐานะประชาชนควรจะสามารถติดตาม-ตรวจสอบได้ว่าการผลักดันนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองที่ได้นำเสนอไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มีการดำเนินการไปแล้วบ้างหรือไม่ ทำแล้วกี่ข้อจากทุกเรื่องที่หาเสียงไว้ เป็นข้อมูลเผื่อไว้ประกอบการตัดสินใจเลือกตั้งในครั้งต่อไป
ในต่างประเทศมีแนวคิดเรื่อง Promise Tracker(การติดตามคำสัญญา) ในการนำเทคโนโลยีมาช่วยประชาชน ในกระบวนการติดตามสัญญาของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ได้หาเสียงไว้ และยังเป็นการเพิ่มความรับผิดชอบของ “ผู้แทนราษฎร” ให้รู้ว่าประชาชนที่มอบอำนาจให้เขาไปทำหน้าที่แทนนั้นจับตาการทำงานของเขาอยู่ว่าทำตามที่สัญญาเอาไว้หรือไม่ ผ่านการใช้และรวบรวมข้อมูลที่เกิดจากความร่วมไม้ร่วมมือของคนในแต่ละชุมชน สังคม หรือประเทศ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและสร้างบทสนทนาเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกับตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้งในระดับต่างๆ ทั้งท้องถิ่นและระดับประเทศเพื่อสร้างการพัฒนา (อ่านเพิ่มเติมได้ที่promisetracker.org/en/about และ thematter.co/thinkers/120-promise-tracker)
ตัวอย่างเครื่องมือ Promise Tracker ที่ภาคประชาชนในต่างประเทศสร้างขึ้น เช่น polimeter.org สำหรับติดตามการทำงานของนายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด และนักการเมืองในประเทศแคนาดา นำเสนอข้อมูลจำนวนคำสัญญาที่ได้ให้ไว้ และเปรียบเทียบสถานะคำสัญญานั้นๆ ในรูปแบบกราฟว่าเรื่องใดดำเนินการแล้วหรือไม่ หรือ Biden Promise Trackerของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน ที่ได้พูด สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ นำมารวบรวมโดยสำนักข่าว PolitiFact (www.politifact.com/truth-o-meter/promises/biden-promise-tracker) และนำเสนอข้อมูลว่ามีเรื่องใดบ้าง กี่เรื่องที่ได้ดำเนินการแล้ว กี่เรื่องอยู่ระหว่างดำเนินการ กี่เรื่องที่ยังไม่คืบหน้า
แต่อย่างพึ่งหมดหวังครับ เพราะเร็วๆ นี้ ประเทศไทยของเราก็กำลังจะมี Promise Tracker ที่พัฒนาโดยภาคประชาชน “ทีม #WeVisDemo กำลังทำโปรเจกท์
“Promise Tracker ติดตามคำสัญญาตอนหาเสียง”อยู่ หากใครอึดอัดใจกับการใช้คำพูดเปลืองของพรรค/นักการเมืองไทย เรายังหาคนมาช่วยกันทำข้อมูล +develop เว็บ” (ดูรายละเอียดที่ https://www.facebook.com/wevisdemo/) ใครที่สนใจก็เข้าไปร่วมไม้ร่วมมือกันได้นะครับ อย่างน้อยก็จะได้ทำให้เรามีฐานข้อมูลเอาไว้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไปเพิ่มขึ้นอีกชุดหนึ่ง นักการเมืองเองก็จะได้รู้ว่าที่หาเสียงไปมีคนติดตามอยู่ และเราเองก็จะได้ไม่เผลอเลือกนักการเมืองที่พูดแล้วไม่ทำครับ
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าวันที่เครื่องมือพัฒนาเสร็จ รัฐบาลนี้จะยังอยู่ไหมนะครับ !

หนาวจัดสะท้านดอย เหนืออุณหภูมิดิ่งต่ำสุด6องศาฯ อีสานเตรียมตัวเย็นลงอีก ใต้เจอฝนฟ้าคะนอง
‘พูห์-พาเวล’ส่งซิงเกิลใหม่ “ผู้ต้องสงสัย (MY CRIME)” OST.สิงสาลาตาย เพิ่มดีกรีความอินให้กับแฟนๆ
Y2Z เอาใจ FC ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ ‘อ้อมกอดใกล้ฉัน’ โชว์ความน่ารักสดใส กับแนวเพลง Funky disco pop
โอ๊ยเล่าเรื่อง 'มือปืน (The Last Shot)'
‘กรมราชทัณฑ์’นั่งไม่ติด รูป‘แม้ว’โผล่เวทีเสก ยืนยันไม่ใช่ภาพจริง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี