วันเสาร์ ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“แก้โกง” เป็นสิ่งที่หลายรัฐบาลพยายามจะทำ ไม่ว่าจะเป็นตอนประกาศนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง แถลงเป็นนโยบายก่อนจะเข้ารับตำแหน่ง หรือแม้แต่เป็นข้ออ้างในการเข้าสู่อำนาจของบางรัฐบาล และการ “แก้โกง” จะเป็นประเด็น “ฮิต”บนพื้นที่ข่าวทันที! เมื่อองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ ประกาศคะแนน CPI ของประเทศไทย ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีหลายปีติดต่อกัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ท่านนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริตต้องกระโดดขึ้นมาเอาจริงเอาจังกันเป็นครั้งๆ
เราเห็นหลายวิธีถูกนำมาใช้ในการ “แก้โกง” ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมาย เพิ่มองค์กรตรวจสอบ กำหนดบทลงโทษ สร้างหลักสูตรปลูกฝังจริยธรรม-สร้าง “คนดี” แต่อีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ คือ “การสร้างความโปร่งใส” ด้วยการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย เพราะเมื่อประชาชนมีข้อมูลก็จะสามารถติดตามตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน รวมถึงรับรู้ความเคลื่อนไหวในการดำเนินนโยบายต่างๆ ภาครัฐเองก็ได้รับประโยชน์จากการเปิดเผยข้อมูลเพราะจะเป็นหลักประกันในการดำเนินการแบบโปร่งใส ตรวจสอบได้และสามารถตอบข้อสงสัยต่างๆ ด้วยข้อมูลที่ภาครัฐเปิดเผยอย่างกว้างขวาง
รัฐธรรมนูญให้การรับรองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารของรัฐเอาไว้ ประกอบกับการมีกฎหมายที่สำคัญ คือ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ที่เป็นทั้งช่องทางให้ประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ (แม้ว่าจะไม่ค่อยสะดวกบ้างในบางครั้ง) และเป็นบทบัญญัติที่กำหนดหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนได้รับรู้ แต่กฎหมายดังกล่าวบังคับใช้มากว่า 20 ปี ประกอบกับมีกฎหมายระดับเดียวกันฉบับอื่นๆที่ไม่อนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลบางชุด เช่น กรณี ป.ป.ช.ไม่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน “ท่านนายกฯ ประยุทธ์-ท่านรองฯ วิษณุ” โดยอ้างว่ากฎหมาย ป.ป.ช. ไม่ให้เปิด รวมถึงมีข้อเสนอจากหลายภาคที่ต้องการให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าวให้มีความทันสมัยมากขึ้นและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล
แต่เจตนาดีในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน-เพิ่มคะแนน CPI ของท่านนายกฯ กลับกลายเป็นว่าเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติในวันที่ 23 มีนาคม 2564 เห็นชอบ (ร่าง) พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการฉบับใหม่ ที่เมื่อรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ปรากฏบนโลกออนไลน์ก็เกิดกระแส#ไม่เอาพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ขึ้นทันที
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหลักการสำคัญที่มีการแก้ไขนั้นกลายเป็นว่ากฎหมายเอื้อให้การ “ปกปิด(ข้อมูล)เป็นหลักเปิด(ข้อมูล)เป็นข้อยกเว้น” โดยมีแนวโน้มจะทำให้การเข้าถึงข้อมูลภาครัฐ เป็นไปได้ยากขึ้น เข้าถึงชุดข้อมูลได้น้อยลง และจำเป็นต้องมี “ร้องขอ” ข้อมูลที่กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องเปิด ซึ่งขัดกับหลักการสากลเรื่องการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐว่าต้อง “เปิดเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” เพราะมีการ “เพิ่มจำนวน” ชุดข้อมูลที่ไม่ต้องเปิดเผยจากกฎหมายเดิม เช่น ข้อมูลด้านการทหารที่เกี่ยวข้องกับอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธภัณฑ์เป็นข้อมูลที่ไม่ต้องเปิดเผย แม้ว่ากฎหมายใหม่จะยังเป็นแค่ร่างแต่ในปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวก็ทำได้ยากมากอยู่แล้ว หลายท่านคงบอกว่าเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงควรจะเป็นความลับ ผมเห็นด้วยครับว่าเรื่องความมั่นคงเช่น ที่ตั้งทางการทหาร ที่ตั้งหรือคลังของอาวุธเหล่านั้นควรจะเป็นความลับ แต่รายละเอียดโครงการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธและงบประมาณที่ถูกจ่ายไปนั้นควรจะเปิดให้ประชาชนได้ทราบ เพราะการเปิดโอกาสให้สามารถ “ปิดบัง” ข้อมูลได้ จะแลกมาด้วยความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตตามมา
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การเอื้อให้หน่วยงาน “มีดุลยพินิจมากขึ้น” ในการเลือกที่จะเปิดหรือไม่เปิดเผยข้อมูล ในม.13/1 ของร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารราชการฉบับใหม่นั้นบัญญัติว่า ข้อมูลข่าวสารราชการที่หากเปิดเผยแล้ว “อาจมีการนำข้อมูลไปใช้ก่อให้เกิดความเสียหาย” ต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพของปวงชนชาวไทย (ต่างจาก พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ พ.ศ. 2540 ที่บัญญัติเพียงว่า “ข้อมูลข่าวสารของราชการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จะเปิดเผยมิได้”) การเอื้อให้หน่วยงานสามารถมีดุลยพินิจ ในทางหนึ่งนั้นอาจส่งผลกระทบต่อความพยายามในการสร้างความโปร่งใสในประเด็นต่างๆ เพราะเมื่อกฎหมายบัญญัติให้หน่วยงานต้อง “คาดเดาผล” จากการใช้ข้อมูล นั่นย่อมทำให้หน่วยงานกังวลถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในทางเลวร้ายที่สุดและก็อาจจะไม่มีข้อมูลใดถูกเปิดเผยออกมา แม้ว่าข้อมูลนั้นจะไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ ก็ตาม อีกทั้งด้วยบทกำหนดโทษที่เพิ่มสูงขึ้น จากเดิมมีเฉพาะผู้ที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้ประชาชนเข้าถึงได้เท่านั้นที่มีโทษ แต่ร่างกฎหมายใหม่เพิ่มบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืน “เปิดเผยข้อมูลที่ห้ามเปิด” โดยมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
หรือแม้แต่การให้หน่วยงาน “ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูล” ให้กับผู้ร้องขอข้อมูล เมื่อหน่วยงาน “คิด” ว่าการร้องขอนั้นมีเจตนาไม่สุจริต ขอข้อมูลจำนวนมาก บ่อยครั้งเกินไป หรือมีลักษณะเป็นการก่อกวนสร้างภาระให้หน่วยงานของรัฐ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องถามกลับว่า แบบใดถึงเรียกว่ามาก หรือแบบใดเรียกว่าสร้างภาระ? ใครเป็นคนกำหนดเกณฑ์ แต่ผมขอเสนอวิธีที่ง่ายและสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ คือหน่วยงานภาครัฐก็ควรจะเปิดเผยข้อมูลให้เยอะและครอบคลุมมากที่สุด อีกทั้งต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างมีมาตรฐานในช่องทางที่ประชาชนเข้าถึงได้สะดวก เพียงเท่านี้ก็คงจะไม่มี “คนปกติ” คนไหนอยากจะไป “สร้างภาระ” ให้กับท่านๆ ทั้งหลาย
ในความเป็นจริงแล้ว พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการควรเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูล เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลภาครัฐได้โดยง่ายด้วยวิธีการและช่องทางที่หลากหลาย เพิ่มชุดข้อมูลเปิดภาครัฐให้มากขึ้น เพราะข้อมูลภาครัฐควรเป็นข้อมูลสาธารณะเพราะเกี่ยวข้องกับประโยชน์ของสังคม ข้อมูลจะเป็นตัวช่วยสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ให้เกิดกิจกรรมทางการเมืองบนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งควรแยกการบังคับใช้บทลงโทษกับผู้ที่ใช้ข้อมูลในทางที่ผิดและก่อให้เกิดความเสียหายจากการใช้ข้อมูลด้วยกฎหมายอื่นที่มีอยู่แล้ว จะมีประสิทธิภาพมากกว่าและไม่เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความโปร่งใสของภาครัฐ
ท้ายที่สุดนี้ ผมเชื่อว่าท่านนายกฯ และคณะรัฐมนตรีก็คงอยากจะเห็นประเทศไทยมีความโปร่งใสมากขึ้น การทุจริตลดน้อยลง มีคะแนน CPI เพิ่มขึ้นตามแผนปฏิรูปประเทศที่ท่านทั้งหลายอุตส่าห์วางแนวทางและเป้าหมายไว้ การแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าวในขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภายังคงเป็นความหวังที่ไม่ไกลเกินเอื้อมในการยึดมั่นในหลักการ“เปิดเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” ไม่เช่นนั้นแล้วท่านๆ ทั้งหลายคงจะได้พาประเทศไทย ขึ้นไทม์แมชชีนเดินถอยหลังเรื่องการส่งเสริมความโปร่งใสเป็นแน่

หนาวจัดสะท้านดอย เหนืออุณหภูมิดิ่งต่ำสุด6องศาฯ อีสานเตรียมตัวเย็นลงอีก ใต้เจอฝนฟ้าคะนอง
‘พูห์-พาเวล’ส่งซิงเกิลใหม่ “ผู้ต้องสงสัย (MY CRIME)” OST.สิงสาลาตาย เพิ่มดีกรีความอินให้กับแฟนๆ
Y2Z เอาใจ FC ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ ‘อ้อมกอดใกล้ฉัน’ โชว์ความน่ารักสดใส กับแนวเพลง Funky disco pop
โอ๊ยเล่าเรื่อง 'มือปืน (The Last Shot)'
‘กรมราชทัณฑ์’นั่งไม่ติด รูป‘แม้ว’โผล่เวทีเสก ยืนยันไม่ใช่ภาพจริง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี