วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
“ผมขอย้ำว่าเราทุกคนไม่มีแผนสองในการรักษาเยียวยาสภาพภูมิอากาศ เพราะเราจะไม่มีโลกที่สองที่เป็นบ้านของพวกเราเหมือนโลกนี้อีกแล้ว” แถลงของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ในการประชุมผู้นำระดับสูงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของการประชุมโลกร้อนสหประชาชาติ ครั้งที่ 26 หรือ COP 26 ที่ได้แสดงเจตนารมณ์อันแรงกล้าที่จะนำไทยไปสู่ประเทศเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutral) ในปี พ.ศ. 2593 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDCs) จากแผนเดิม 20% เป็น 40% ในอีก 10 ปีข้างหน้า นี่คือคำมั่นสัญญาของประเทศไทยต่อประชาคมโลก ว่าเรามุ่งมั่นที่จะให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แล้วท่านคิดว่า เป้าหมายนี้จะสำเร็จหรือไม่ครับ?
ยิ่งโลกแปรปรวนเพียงใดความปรวนแปรทางใจของมนุษยชาติก็ยิ่งทวีคูณเท่านั้น เนื่องจากมีข้อมูลที่สอดคล้องกับสภาพความโหดร้ายทางธรรมชาติอยู่เนืองๆ โดยเหตุการณ์ตอกย้ำความเลวร้ายของสภาพภูมิอากาศที่ทั่วโลกได้เห็นพ้องกันถึงความโหดร้ายทางธรรมชาติคือ มหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ของปากีสถานในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนที่ผ่านมา กินพื้นที่กว่า 1 ใน 3 ของประเทศ สาเหตุหลักๆ มาจากการละลายของธารน้ำแข็งที่ไหลลงทะเลสาบ และมรสุมที่กระหน่ำปากีสถานในช่วงก่อนหน้านี้กระทบประชากรกว่า 33 ล้านคน โดยเฉพาะในรัฐบาลูจิสถานและรัฐสินธ์ ที่อยู่ทางภาคใต้ ที่เป็นพื้นที่รับน้ำทั้งหมด โดยมีหลายพื้นที่จมอยู่ใต้บาดาล สาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างน้ำประปา ไฟฟ้า และการคมนาคมพังพินาศโดยสิ้นเชิง จากรายงานพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ราว 1,500 คน และสามารถตีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 3.5 แสนล้านบาท (BBC NEWS ไทย, 2565)
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั้งที่ประเทศปากีสถานปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึง 1% ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาทั้งโลก แต่ได้รับผลกระทบจากความแปรปรวนทางภูมิอากาศที่ร้ายแรงมาก ซึ่งจากรายงานดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศโลกปี 2021 โดย Germanwatch ปากีสถานเป็นประเทศอันดับ 8 ที่มีความเสี่ยงในการเผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้ายอันเป็นผลพวงจากภาวะโลกรวน ที่น่าตกใจอย่างมากคือ ประเทศไทยติดอันดับ 9 ของรายงานดังกล่าว ยิ่งตอกย้ำให้เป้าหมายที่พล.อ.ประยุทธ์แถลงข้างต้นเป็นสิ่งที่ประเทศไทยควรทำให้สำเร็จในเร็ววัน
จะเป็นไปได้ไหมที่ประเทศไทยจะทำตามคำมั่นสัญญาไม่สำเร็จ? เป็นคำถามที่เมื่อท่านตรึกตรองแล้วคงตอบได้ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ หากตัดเรื่องของระบบราชการที่ค่อนข้างอืดอาดตามไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ก็มีอีกสารพัดปัจจัยที่จะทำให้ประเทศไทยไปไม่ถึงฝันในช่วงเวลาที่ต้องการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการทุจริตคอร์รัปชันที่เป็นตัวฉุดรั้งประเทศเราให้ก้าวตามไม่ทันโลก
จากงานศึกษาที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อว่า “The limits of democracy in tackling climate change” (Povitkina, 2018) บอกว่าการคอร์รัปชันทำให้ประสิทธิภาพของการแก้ไขปัญหาภาวะโลกรวนลดลง จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณของข้อมูลการคอร์รัปชัน และการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ของแต่ละประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยจะสามารถจัดการสิ่งแวดล้อมได้ดีเมื่อเกิดคอร์รัปชันที่ต่ำ และหากเกิดคอร์รัปชันสูง ระบอบประชาธิปไตยก็อาจให้ผลลัพธ์ของการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ไม่ต่างจากประเทศที่ปกครองโดยเผด็จการหรืออำนาจนิยม เช่น ประเทศที่ใช้ปกครองระบอบประชาธิปไตยแต่เกิดการคอร์รัปชันสูงอย่าง จาไมกา กับประเทศเผด็จการอย่างอาเซอร์ไบจาน ที่มีปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากพอๆ กัน และดูเหมือนว่าผลกระทบของการคอร์รัปชันจะส่งผลต่อประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างมากจนประเทศไหนที่มีคอร์รัปชันหนักๆ ก็ทำให้ระบบทางการเมืองดูจะไม่ได้ส่งผลลัพธ์ที่แตกต่างกันนัก ดังนั้น การคอร์รัปชันจึงเปรียบเสมือนมะเร็งร้าย ยาที่ชื่อว่า “ประชาธิปไตย” ก็ไม่อาจรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่สังคมมุ่งหวังได้ การลดการคอร์รัปชันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำสิ่งแวดล้อมไปสู่เป้าหมายได้
เมื่อย้อนมามองประเทศไทยที่ติดรั้งท้ายคะแนนความโปร่งใสมาอย่างต่อเนื่อง ท่านคิดว่าระบอบประชาธิปไตยที่ไม่เต็มใบของเราจะมีประสิทธิภาพเพียงพอแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือครับ? โดยจากข้อมูลดัชนีรับรู้การทุจริต (CPI) ที่จัดทำโดย Transparency International ในปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทยถูกประเมินได้ 35 คะแนนอยู่ที่อันดับ 110 จาก 180 ประเทศ ซึ่งหลายสิบปีที่ผ่านมาคะแนนและอันดับก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไรนัก นั่นหมายความว่าเราสามารถเห็นการทุจริตคอร์รัปชันได้โดยทั่วไป เมื่อเป็นแบบนี้แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าประเทศเราจะสามารถบรรลุตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับประชาคมโลกไว้ได้
สำหรับแนวทางการทำให้การจัดการสิ่งแวดล้อมดีขึ้น นั่นก็คือการทำให้การจัดการสิ่งแวดล้อมของไทยมีธรรมาภิบาลมากขึ้น ซึ่งหมายรวมถึงการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนนั่นเองครับ เพราะการมีส่วนร่วมจะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการคอร์รัปชันได้ ผ่านประชาชนที่เข้าร่วมกระบวนการจัดการ และตรวจสอบนอกเหนือจากองค์กรของรัฐที่อาจจะเข้าไม่ถึงในเชิงพื้นที่ โดยมีตัวอย่างที่น่าสนใจในการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีส่วนร่วมในไทย เช่น การขับเคลื่อนป่าชุมชนของรีคอฟ (RECOFTC ประเทศไทย) ที่เชื่อว่าคนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ คนสามารถปกป้องป่าจากกลุ่มนายทุนหรือผู้หวังผลประโยชน์ที่จะกระทำการคอร์รัปชันร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการรักษาผลตอบแทนจากที่ป่ามอบให้กับคนในพื้นที่ในลักษณะมีอยู่ มีกินเพราะมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โดยไม่แบ่งแยก จนเกิดเป็น Living Landscape (ภูมิทัศน์ชีวิต) ขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดทำให้การอนุรักษ์ป่ามีความยั่งยืน เกิดจิตสำนึกต่อคนในพื้นที่อย่างแท้จริง เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมปกป้องป่าจากภายใน แตกต่างจากกระบวนการของรัฐที่รื้อ ไล่ บังคับออก โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังและศักยภาพของกลุ่มคน
อย่างไรก็ตามธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมในไทยยังไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก ทั้งที่เป็นร่มใหญ่ของการจัดการสิ่งแวดล้อมที่จะนำไปสู่เป้าหมายของประเทศที่วางไว้ได้ หลายๆ ครั้งที่ถึงแม้จะมีกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในท้องถิ่นแต่กลับติดอำนาจรัฐ และผู้มีอิทธิพล ที่ใช้กฎหมายในทางไม่ชอบเพื่อหวังผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงฐานทรัพยากร และคุณภาพชีวิตประชาชน รวมถึงการออกกฎหมายที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงก็ถูกตีตกไป โดยไม่ได้ชี้แจงเหตุผลอันสมควร
สุดท้ายนี้ คอร์รัปชันยังคงเป็นตัวการฉุดรั้งหลายๆ โอกาสที่เราจะสามารถพัฒนาการจัดการสิ่งแวดล้อมและสมควรแก่เวลาแล้วหรือไม่ที่เราจะมาตัดเนื้อร้ายเหล่านั้นทิ้งไป ด้วยการผลักดันธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมกลายเป็นปัญหาของคนทั้งประเทศไม่ใช่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เพราะเราไม่มี “แผนสอง” อีกต่อไป เรามีแค่แผนหนึ่งที่ต้องทำให้ดีเท่านั้นครับ
จิรศักดิ์ แก้วเจริญ HAND Social Enterprise

‘บวรศักดิ์’ยกคติ‘คำเตือนมีค่ากว่าคำชม’ หลัง‘นิพิฏฐ์’แซะ‘นายกฯ’สวมชุดกากีขึ้นเวทีหาเสียง
เปิดประตูสู่ความลึกลับ…ชวนขนหัวลุกทั้งฮอลล์!! 'สิงสาลาตาย'มิติใหม่ของซีรีส์บอยเลิฟสยองขวัญ
'กรมสมเด็จพระเทพฯ' ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ 'สมเด็จพระพันปีหลวง'
'นายกฯ' ถกครม.เศรษฐกิจ ปลื้มคนละครึ่งพลัส ลงพื้นที่ปชช.ตอบรับ มีความสุข กระตุ้นระบบศก.คึกคัก
'เรวัช'มองนโยบายขยายเกษียณเป็น 70 ปี ไม่ได้ให้โอกาส แต่เป็นการทรมานคนแก่

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี