nn ต่อจาก “หมุนตามทุน” วานนี้เรื่อง...โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา มูลค่ากว่า 2 แสน 2 หมื่นล้านบาทระยะทาง 220 กิโลเมตร...ที่ “หมุนตามทุน”ฟันธงไว้ว่า กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้งส์....จะเป็นผู้ชนะการประมูล...แต่ว่างานนี้ไม่ใช่รายการของการได้ “เค้กก้อนโต” ไปกินกันอย่างเอร็ดอร่อย...เพราะเอาเข้าจริง...โครงการนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย..หนำซ้ำยังมีอุปสรรครออยู่อีกมากมาย...
นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันกลับฟันธงตรงกันว่า ผู้ชนะการประมูลโครงการนี้ จะต้องฝ่าฟัน9 ด่านอุปสรรคสำคัญ....1.จำนวนผู้โดยสาร: ที่ปกติทั่วโลกต้องโดยสารจากเมืองใหญ่ไปยังเมืองใหญ่แต่รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีกว่าจะเกิดชุมชนเมืองของเมืองรองที่มีขนาดใหญ่พอบวกกับเวลาก่อสร้างอีก 5 ปี เท่ากับ จำนวนผู้โดยสารในช่วง 10 ปีแรก จะน้อยมาก และทำให้เสี่ยงภาวะไม่คุ้มทุน 2.ดอกเบี้ยที่มาก่อสร้างต้องจ่ายตั้งแต่วันแรก แต่กว่าจะก่อสร้างเสร็จใช้เวลา 5 ปี แค่ดอกเบี้ยอย่างเดียวในช่วง 5 ปีแรก ก็เป็นหลักหมื่นล้านกว่าจะมีรายได้จากการโดยสารเข้ามาในปีที่ 5…
3.ความเสี่ยงจากเทคโนโลยี ที่ไม่ใช่ลงทุนครั้งเดียวจบ แต่ตลอด 50 ปี เทคโนโลยีด้านการโดยสารต้องลงทุนเพิ่ม พัฒนาตลอดเวลา ดังจะเห็นได้ว่า ค่าซ่อมบำรุงอย่างเดียวก็อานแล้ว และยังต้องลงทุนเทคโนโลยีใหม่อีกด้วย เช่น ระบบแม่เหล็กที่จะเข้ามาทดแทนในอนาคต...4. ความเสี่ยงทางการเมือง ซึ่งช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง เช่น การยกวลีเด็ด “นำทรัพย์สินของรัฐไปให้เอกชน” ซึ่งในความเป็นจริง เอกชนต้องจ่ายค่าเช่ามักกะสัน และเป็นสัญญาเช่าที่มีอายุ 50 ปีเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขต่อ หรือ ขยายระยะเวลาใน TORและสัญญาระยะการเช่า 50 ปีนี้ สอดคล้องกับกฎหมายการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ยังเสี่ยงว่า การรถไฟจะส่งมอบพื้นที่ล่าช้าหรือไม่
5.ความเสี่ยงจากค่าเช่าที่ดินมักกะสันที่สูงกว่าราคาตลาด.. ราคาประเมินที่ดินจัดทำโดยที่ปรึกษาของ ร.ฟ.ท. (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) โดยยึดหลักราคาที่ดินแปลงใหญ่รอบพื้นที่มักกะสัน ทำให้ราคาที่ดินตก 6 แสนบาทต่อตารางวา ซึ่งนำไปคำนวณค่าเช่าที่ดินที่เอกชนต้องจ่ายให้ ร.ฟ.ท. ตลอดระยะเวลา 50 ปี (รวมเงินเฟ้อ) โดยรวมแล้ว ร.ฟ.ท. จะได้รับค่าเช่าที่ประมาณ 52,337 ล้านบาท ซึ่งแพงมาก กลายเป็นอีกภาระของเอกชนที่หลายคนคาดไม่ถึง
6.ความเสี่ยงจากโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ ที่คนเข้าใจผิด กล่าวหาว่า โครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์มูลค่า 4 หมื่นล้านบาท ไปประเคนให้เอกชนในราคาเพียง 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีคนพยายามปิดบังว่าปัจจุบันโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์มีหนี้ประมาณ 33,229 ล้านบาท และการดำเนินงานแอร์พอร์ตเรลลิงก์ขาดทุนทุกปีประมาณ 300 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าบริษัทตอนนี้เหลือเพียง 6 พันกว่าล้าน เงินที่ได้จากเอกชน 1.3 หมื่นล้าน และค่าเช่าที่มักกะสัน อีก 5.2 หมื่นล้าน การรถไฟจะเอาไปใช้หนี้ เป็นไททันที ในขณะที่เอกชน ต้องเสียตังค์มาปรับปรุงรถไฟแอร์พอร์ตลิ้งค์อีกมหาศาล กว่าจะกลับมาทำกำไร
7.ความเสี่ยงที่จะไม่มีคนคืนเงินค่าก่อสร้าง โดยความเข้าใจผิดว่า รัฐเป็นผู้จ่ายคืน แต่แท้ที่จริง ผู้ที่ต้องจ่ายค่าคืนการรถไฟ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนเป็นอันดับสองจากด้านล่างของประเทศ ทำให้เกิดคำถามว่า จะเป็นผู้จ่ายเงินคืนหลังจากก่อสร้างเสร็จปีที่ 5 ตลอดไปอีก 10 ปี ได้หรือไม่
8.ความเสี่ยงที่ปัจจุบันราคาที่ดินรอบรางรถไฟแพงหมดแล้ว คนมักคิดว่า ประมูลเพื่อได้ประโยชน์จากที่ดิน โดยลืมไปว่า รถไฟวิ่งเส้นทางรางรถไฟเดิมเป็นส่วนใหญ่ และที่ดินแพงขึ้นหมดแล้ว และคนเก็งราคาที่ดิน ทำได้โดยไม่ต้องมาเสี่ยงทำรถไฟความเร็วสูง ไปกางมุ้งซื้อที่เลยดีกว่า ในขณะที่คนลงทุนในโครงการรถไฟจะถูกจับตา และ ยากในการคืนทุนจากที่ดิน
9. ความเสี่ยงทางการเงิน คนมักคิดว่า โครงการนี้กำไรเห็นๆ แต่ลืมไปว่า กว่าจะเริ่มให้บริการก็ต้องก่อสร้างให้เสร็จ ในขณะที่เอกชนเป็นหนี้ตั้งแต่วันแรก นับไป 5 ปี กว่าจะมีผู้โดยสารรายแรก
เงินช่วยเหลือจากภาครัฐตลอด 5 ปี ยังไม่มีสักบาท ดังนั้น นับรอไปอีก 10 ปี กว่าจะได้เงินอุดหนุนค่าก่อสร้างที่ทยอยจ่ายปีละเท่าๆกัน นอกจากนี้ผู้โดยสาร กว่าจะมีจำนวนมากพอ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี และต้องลุ้นว่า โครงการอื่น ๆ จะต้องเกิดให้หมด เช่น สนามบิน เพื่อให้มีผู้โดยสารตามเป้าซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 ปี กว่าจะหมดภาระขาดทุน ปีที่ 31 ถึงจะเห็นกำไร โดยที่ในอีก 30 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีรถไฟอาจหนีไปเป็น Maglev หรือ รถไฟที่ใช้พลังแม่เหล็ก ในขณะที่คนลงทุนก่อนเสียเปรียบ และยังไม่คืนทุนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นต้องลุ้นไปว่า เทคโนโลยีนี้จะยืนพื้นไปได้อีก 30 ปี
สรุปได้ว่า ดีสุดคือ คืนทุนใน 30 ปี แต่หากโชคร้าย ก็คงจะหมดภาระหนี้ในปีที่ 50 พอดี ดังนั้นผู้ชนะประมูลโครงการนี้ต้องบอกว่า ต้องมีความอึด แกร่ง และทน เพราะหากทำสำเร็จ จะเป็นกุญแจที่สำคัญนำอีอีซี เป็นเครื่องจักร ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้อีกหลายสิบปี...ที่สำคัญคนที่ตัดสินทำโครงการนี้ไม่ตั้งต้นคิดเรื่องกำไรเป็นเหลักแน่นอน...เพราะดูจากความเสี่ยงที่มี...ไม่มีนักธุรกิจธรรมดารายไหนคิดอยากทำโครงการนี้...แต่การตัดสินใจทำโครงการนี้จะตั้งต้นคิดด้วยว่า...โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา…จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศชาติ...ที่สำคัญคือประโยชน์จะตกอยู่กับลูกหลานไทยในอนาคต....
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี