เหตุการณ์ที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา กราดยิงผู้คนในห้างเทอร์มินอล 21 ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 นับเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความตกตะลึงและความเศร้าโศกเสียใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ เพราะเหตุการณ์แบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย ทั้งอาวุธที่ใช้ เป็นอาวุธสงครามที่ล้วนมีแสนยานุภาพมาก
ผู้ที่ติดตามเหตุการณ์นี้ คงทราบดีว่า ก่อนที่จะเกิดการกราดยิงในห้างเทอร์มินอล 21 จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมาผู้ก่อเหตุนี้ได้ยิงพ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับบัญชาของตน นางอนงค์ มิตรจันทร์ แม่ภรรยาของพ.อ.อนันต์ฐโรจน์กระแสร์ จนถึงแก่ความตาย และนายพิทยา แก้วพรหม นายหน้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังก่อเหตุเสร็จ ได้ขับรถยนต์ไปยังกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กราดยิงพลทหารบาดเจ็บ1 นาย และเสียชีวิต 1 นาย พร้อมกับชิงอาวุธปืนสงครามและกระสุนจากคลังอาวุธ เป็นจำนวนเกือบ 1,000 นัด รวมทั้งขโมยรถฮัมวี่ของเจ้าหน้าที่ออกมา ระหว่างนั้นได้ยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ขับรถสวนตามทางถูกยิงเสียชีวิต และได้ขับรถฮัมวี่มาที่ห้างเทอร์มินอล 21 ยิงถังแก๊สด้านนอกห้างจนเกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้น กราดยิงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่พยายามระงับเหตุการณ์และผู้คนที่พบอย่างไร้ความปรานี โดยไม่คำนึงถึงเพศ อายุ แม้กระทั่งเด็กวัยเพียง 2 ขวบที่อยู่ในอ้อมกอดผู้เป็นแม่ ยังตกเป็นเป้า
จนในที่สุด ผู้ก่อเหตุได้ถูกวิสามัญ มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ถึง 30 คน และบาดเจ็บกว่า 60 คน ต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บทุกท่าน
หากผู้ก่อเหตุถูกจับเป็น คงต้องได้รับโทษถึงประหารชีวิต เพราะจะมีโทษฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฆ่าเจ้าพนักงานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน หรือ โดยการกระทำทารุณโหดร้าย ทำร้ายเจ้าพนักงาน/ผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจเจ้าพนักงาน/ผู้อื่น ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย/ได้รับอันตรายสาหัส ครอบครองและใช้อาวุธสงคราม
ก่อนที่บัญชีเฟซบุ๊ค (Facebook) ของผู้ก่อเหตุจะถูกปิดไป ผู้ก่อเหตุได้มีการลงข้อความว่า “ร่ำรวยจากการโกงการเอาเปรียบคนอื่น มันคิดว่ามันจะเอาเงินไปใช้ในนรกหรือไง” หลังจากที่ยิงผู้บังคับบัญชาของตนแล้ว ได้ลงข้อความเช่น “3 ศพล้างแค้น นอกนั้นป้องกันตัว” มีการลงรูปถ่ายตัวเองแบบเซลฟี่ กับถังแก๊สที่ไฟกำลังลุกไหม้ที่ผู้ก่อเหตุยิง“กระดิกนิ้วไม่ไหวแล้วซวยล่ะ เป็นตะคริว” “ยังไงก็หนีความตายไม่พ้นทุกคน”
บุคคลทั่วไปต่างสงสัยว่า สาเหตุมาจากอะไร? เพื่อนสนิทเพื่อนบ้าน ล้วนไม่เชื่อว่า ผู้ก่อเหตุจะยิงผู้คนมากมาย เพราะเท่าที่รู้จัก ผู้ก่อเหตุไม่ได้มีนิสัยก้าวร้าว โมโหร้าย แต่จากข้อความที่ผู้ก่อเหตุเขียนชี้เป็นนัยว่า มีความคับแค้นใจ จึงมีการสอบถามผู้ใกล้ชิด และได้สันนิษฐานออกมาในทิศทางเดียวกันว่า ผู้ก่อเหตุมีความแค้นส่วนตัว ทั้งยังมีการเปิดเผยหลักฐานสัญญากู้เงินเพื่อสร้างบ้านทหารของผู้ก่อเหตุ ซึ่งผู้ก่อเหตุควรได้รับ “เงินทอน” จากนางอนงค์ มิตรจันทร์ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “โครงการจัดสรรที่ดินสร้างบ้านพักเพื่อขายให้ทหาร” นอกจากนี้ยังมีค่านายหน้าที่ผู้ก่อเหตุได้พาเพื่อนทหารมาซื้อบ้านจากโครงการดังกล่าว
เงินกู้ที่ผู้ก่อเหตุกู้จากกองการออมทรัพย์ กรมสวัสดิการทหารบก จำนวน 1,125,000 บาท เป็นค่าจ้างสร้างบ้าน 750,000 บาท คงเหลือเงินทอน 375,000 บาท และค่านายหน้าอีก 50,000 บาท เมื่อมีการทวงถามถึงเงินทอนและค่านายหน้ากลับได้รับการปฏิเสธเรื่อยมา อ้างว่าให้ไปเอาที่นายหน้าหรืออยากได้ให้ไปฟ้อง สร้างความไม่พอใจให้กับ ผู้ก่อเหตุ สอดคล้องกับข้อความในเฟซบุ๊คผู้ก่อเหตุ
“เงินทอน” จะได้จากโครงการจัดสรรที่ดินว่างเปล่า หรือการซื้อที่ดินและสร้างบ้าน ผู้ที่ทำโครงการอาจเป็นเครือญาติของนายทหารระดับสูง หรือนายทุนที่รู้จักกับนายทหารระดับสูง มีการชักจูงนายทหารในสังกัดขอกู้เงินจากโครงการสวัสดิการเงินกู้ของทหารโครงการลักษณะนี้ ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะทำให้ทหารระดับล่าง มีโอกาสมีบ้านเป็นของตนเอง แต่หากนายทหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องไม่มีความเที่ยงธรรม อาศัยช่องว่างของโครงการร่วมมือกับเอกชนเจ้าของโครงการจัดสรรที่ดินแสวงหาผลประโยชน์มาแบ่งกันโดยใช้อำนาจในฐานะผู้บังคับบัญชาหรือยศตำแหน่งที่สูงกว่า ทำให้นายทหารผู้ใต้บังคับบัญชาหรือยศต่ำกว่าไม่กล้ามีปากเสียง หรือร้องเรียน หากถูกเอารัดเอาเปรียบ เพราะเกรงว่า ผู้บังคับบัญชาอาจใช้อำนาจในตำแหน่งและหน้าที่ในทางมิชอบด้วยการลงทัณฑ์ เช่น กัก ขัง จำขัง
หากกองทัพ หรือกระทรวงกลาโหม เข้าไปตรวจสอบการประเมินราคา หลักประกันและการอนุมัติเงินกู้สวัสดิการ โครงการทั้งหมดที่ผ่านมา อาจพบความไม่ชอบมาพากล เพื่อที่จะช่วยเหลือทหารที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งควรหาทางป้องกันไม่ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งอาศัยช่องว่างในการแสวงหาผลประโยชน์
อาวุธและกระสุนปืนที่ผู้ก่อเหตุชิงมาจากคลังอาวุธ ทางกองทัพควรมีระเบียบหรือข้อกำหนดในการดูแลรักษาอาวุธยุทโธปกรณ์ กรณีนายทหารที่ถูกผู้ก่อเหตุฆ่าตาย อาจเห็นว่าผู้ก่อเหตุเป็นบุคคลที่คุ้นเคย ทำให้หละหลวม ไม่ได้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย จึงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
เรื่องที่ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าข่มเหงผู้ที่มีตำแหน่งน้อยกว่าผู้บังคับบัญชาข่มเหงผู้ใต้บังคับบัญชา หรือในโรงเรียนที่มีเด็กตัวโตแกล้งเด็กตัวเล็ก การข่มเหง ในลักษณะนี้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า “บูลลี่ (Bully)” ที่อาจมีในหลายรูปแบบ เช่นใช้คำพูดทำร้ายความรู้สึก ล้อเลียน พูดถากถาง ใช้ถ้อยคำล่วงละเมิดทางเพศ บางครั้งใช้กำลังบังคับหรือทำร้ายร่างกายเช่น หยิก ผลัก ตี ต่อย เตะ ล้วนแต่ส่งผลกระทบทางร่างกายและจิตใจของผู้ถูกกระทำ บางกรณีผู้ถูกกระทำไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ต่อไป ทำให้ผู้ถูกกระทำโต้ตอบผู้กระทำ หรือแม้หากผู้กระทำอยู่ในกลุ่มบุคคลอื่น ผู้ถูกกระทำจะไม่สนใจว่าใครจะได้รับผลของการกระทำ ที่ผ่านมาจะเห็นได้เหตุการณ์กราดยิงในต่างประเทศลงในสื่อ แต่ครั้งนี้คนไทยกลับต้องมาพบกับข่าวนี้ในบ้านตนเอง ทางผู้ปกครอง โรงเรียน หน่วยงานเอกชน และหน่วยงานรัฐบาล ไม่ควรมองข้ามเรื่องเหล่านี้
คนบางคนไร้จิตสำนึก เห็นเหตุการณ์นี้แทนที่จะแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียหายหรือควรอยู่เฉยๆ แต่กลับเห็นว่า เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องสนุก ได้ลงข้อความพร้อมรูปอาวุธปืนในเฟซบุ๊คทำนอง “เตรียมก่อเหตุที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสันชัยภูมิ” ทางตำรวจได้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการสร้างข่าวปลอม (Fake News) เช่นนี้อีกทั้งเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายคอมพิวเตอร์ เพราะเป็นการสร้าง ข่าวเท็จ สร้างความหวาดกลัวให้แก่สังคม
ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่สถาบันครอบครัว สถานศึกษา ควรนำเรื่องนี้มาถอดเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ ที่เกี่ยวข้องกับตน นำพาหรือบานปลายไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรงที่เหนือความควบคุม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี