ช่วงวิกฤติไวรัสโควิด นอกเหนือไปจากผลกระทบทางด้านสุขภาพและการดำรงชีวิตของคนไทยทุกคนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบไปด้วย ก็คือ เรื่องเงินๆ ทองๆ ในกระเป๋าของพวกเราทุกคน และผลกระทบที่ว่านี้ถือว่าเป็นผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรง เพราะเป็นผลกระทบที่เกิดจากการขาดหายไปของรายได้ อันส่งผลต่อการจับจ่ายในชีวิตประจำวัน
บทความในวันนี้ผมขอนำเสนอแนวทางเบื้องต้นในการจัดการกับปัญหาการเงินในช่วงภาวะวิกฤติ เผื่อให้คุณผู้อ่านได้ลองนำไปปรับใช้กันนะครับ
1. วางแผนการใช้จ่าย
สิ่งแรกที่เราควรทำ ก็คือ ลองทำงบรายรับรายจ่ายในแต่ละเดือนต่อจากนี้ ลองดูสิว่าแต่ละเดือนเรามีภาระค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ และต้องจ่ายให้กับอะไรบ้าง พอจะมีรายได้ผ่านเข้ามาบ้างหรือเปล่า หรือมีเงินสำรองที่พอจะตัดมาใช้จ่ายอุดหนุนในแต่ละเดือนได้บ้างหรือไม่
สิ่งสำคัญที่เราต้องตอบให้ได้หลังทำงบการเงิน ก็คือ ในแต่ละเดือนเรา “เหลือ” หรือ “ขาด” เงินสำหรับใช้จ่ายเท่าไหร่
ทั้งนี้ งบดังกล่าวอาจทำแบบประมาณการล่วงหน้าไป3-6 เดือน เพื่อให้เราเห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเงินตัวเอง จากนั้นจะได้เริ่มวางแผนจัดการการเงินกันครับ
2. ลดค่าใช้จ่ายและภาระผ่อนหนี้
เริ่มต้นจากค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ตรงนี้สมาชิกในบ้านอาจต้องช่วยกันหาทางลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ลง โดยปรึกษาหารือกันว่า จะจัดการค่าใช้จ่ายกินใช้กันอย่างไร ให้สามารถประหยัดกันได้มากที่สุด
ในส่วนของภาระหนี้ที่ต้องผ่อน ถ้าผ่อนเต็มจำนวนได้ ยังไหวไม่กระทบสภาพคล่อง ก็ให้ดำเนินการผ่อนปกติต่อไป
แต่ในกรณีที่ผ่อนไม่ไหว ให้ติดต่อธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ ปัจจุบันเปิดให้มีการติดต่อและเจรจาได้ทั้งหมด (*ควรรีบติดต่อก่อนพลาดผิดนัดชำระ จะเจรจาได้ง่ายกว่า)
ทั้งนี้แนวทางในการเจรจาเพื่อลดภาระผ่อนต่อเดือน อาจทำได้ดังนี้
l ขอลดดอกเบี้ย
l ขอชำระเฉพาะดอกเบี้ย (พักเงินต้น)
l ขอเลื่อนการชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 3-6 เดือน
ทั้งนี้การชำระเฉพาะดอกเบี้ย หรือเลื่อนการชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย จะช่วยให้เราเก็บเงินสดไว้กับตัว หรือลดภาระจ่ายในระยะสั้นๆ ได้
(*หมายเหตุ กรณีเลื่อนชำระดอกเบี้ย และการขอเลื่อนผ่อนเงินต้นและดอกเบี้ย อาจยังมีการคิดดอกเบี้ยอยู่ ดังนั้นแนวทางนี้จึงเป็นแนวทางแก้ปัญหาชั่วคราวสำหรับคนขาดสภาพคล่อง ให้พอผ่านปัญหา โดยไม่เสียเครดิตไป)
3. หารายได้เพิ่ม
รายได้ช่องทางแรกที่ควรดำเนินการ ก็คือ การติดต่อเงินชดเชยรายได้ หรือเงินเยียวยา จากสิทธิต่างๆ ที่เราพึงมี เช่น
ถ้าคุณเป็นพนักงานประจำ ที่นายจ้างหักเงินส่งประกันสังคมเป็นประจำทุกเดือน (มาตรา 33) และถูกให้หยุดงานโดยไม่ได้เงิน หรือเลิกจ้าง จากผลกระทบของวิกฤติไวรัส ก็ให้ติดต่อของเงินชดเชยรายได้จากกองทุนประกันสังคม (www.sso.go.th)
แต่หากคุณเป็นคนทำงานอาชีพอิสระ เป็นพ่อค้าแม่ขาย ขับรถขนส่ง (วินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ รถบรรทุกรับจ้าง ฯลฯ) ฟรีแลนซ์ทั้งหลาย ช่างตัดผม ไกด์อิสระ แรงงานรับจ้าง ฯลฯ
พูดง่ายๆ คือ ทุกอาชีพที่เป็นอาชีพอิสระ (รวมคนที่ส่งประกันสังคม มาตรา 39 และ 40) *และได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ก็ให้ลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาเป็นเวลา 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน) ผ่านทางเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com (เริ่มเปิดลงทะเบียน วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป และลงได้ต่อเนื่อง ไม่มีปิดรับลงทะเบียน)
นอกจากนี้อาจจะลองศึกษา หาแนวทางทำอาชีพเสริมซึ่งอาจยังทำไม่ได้ในช่วงวิกฤติ แต่ก็ให้เตรียมความพร้อมไว้หลังวิกฤติเบาบางลง จะได้พร้อม ได้เริ่มสร้างอาชีพใหม่ที่เราศึกษามาแล้วเป็นอย่างดี
ในขณะที่หลายคนกำลังนั่งจมนั่งทุกข์กับปัญหา มีอีกหลายคนกำลังเรียนรู้อะไรใหม่ๆ หรือต่อยอดจากความรู้เดิมๆ ที่มี เพื่อหาทางแก้ปัญหา และรอจังหวะที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ สร้างอาชีพที่ 2 หลังจากวิกฤติผ่านไป
ทั้ง 3 ข้อ ก็เป็นแนวทางเริ่มต้นสำหรับผู้ที่อยากจะจัดการเงินให้เข้าที่เข้าทางในช่วงวิกฤตินะครับ
จำไว้ว่า วันหนึ่งวิกฤติผ่านมา แล้วก็จะผ่านไป เหมือนที่วิกฤติอื่นๆ เคยเข้ามาในชีวิตคนไทย ทั้งปี 2540 และ 2551 วิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ก็เช่นกัน ดังนั้นคนที่สู้ทุกทาง และพยายามแก้ปัญหาอย่างมีสติ ในวันหนึ่งก็จะผ่านปัญหาไปได้ครับ
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆ ท่าน ที่กำลังเผชิญกับปัญหาอยู่ครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี