ประเทศไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ มีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้สืบทอดและเผยแผ่พระพุทธศาสนาถ่ายทอดประวัติหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเช่น การสอน การอบรม การแสดงธรรม การปาฐกถาธรรมและการเขียนตำรา และการปฏิบัติธรรม พระภิกษุสงฆ์ยังเป็นผู้ดูแลการสร้างวัดวาอาราม และรักษาบูรณะซ่อมแซม ที่ถือเป็นศาสนสถาน
สังคมไทยมีฐานมาจากพระพุทธศาสนา พระภิกษุสงฆ์ถือเป็นที่พึ่งทางใจของคนส่วนมาก คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สบายใจ จะหันหน้าเข้าวัดเพื่อทำบุญ เพราะเชื่อว่าการทำบุญจะช่วยปลดปล่อยเรื่องเลวร้าย นำสิ่งดีๆ มาให้กับชีวิต แทบทุกวัดจะมีตู้รับบริจาค ที่มีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป เช่น ค่าภัตตาหาร ค่าซ่อมแซมอุโบสถ ค่าน้ำค่าไฟ ซ่อมหลังคา ชำระหนี้สงฆ์ นอกจากนี้ยังมีญาติโยมที่เต็มใจที่จะถวายปัจจัยให้แก่พระท่านโดยตรง ทั้งการประกอบพิธีทางศาสนา เช่น สวดงานศพ การรับนิมนต์ไปทำบุญบ้าน หรือการตักบาตรตอนเช้า จะมีการถวายปัจจัยเช่นกัน
บางคนมองว่าสิ่งเหล่านี้ คือ รายได้ของ ทำให้มีการตั้งคำถามว่าพระภิกษุสงฆ์ต้องเสียภาษีหรือไม่ ?
ตามกฎหมาย ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาโดยมีสถานะ อย่างหนึ่งอย่างใด คือ (1) บุคคลธรรมดา(2) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล(3) ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี (4) กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง (5) วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
การที่ญาติโยมถวายให้พระภิกษุสงฆ์ เป็นจิตศรัทธาของญาติโยม เปรียบเสมือนการให้โดยเสน่หา เพราะเห็นว่า พระท่านหลายรูปอาจมีภาระหน้าที่ พระบางรูปไม่ใช่ให้เด็กวัดใช้วัดเป็นที่พักอาศัยหลับนอน ไม่ใช่ให้เพียงกินข้าวก้นบาตร ท่านยังให้การศึกษาอุปการะเด็กวัดส่งเรียนหนังสือ เห็นได้จากบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จหลายคน ล้วนเป็นเด็กวัดมาก่อน
ตามประมวลรัษฎากร เงินได้ที่พระภิกษุสงฆ์ได้รับ ไม่ใช่เงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี เพราะตามประมวลรัษฎากร ตามมาตรา 42 (10) “เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา เงินได้ที่รับจากการรับมรดก หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี” ดังนั้น การที่พระภิกษุสงฆ์ไม่ต้องเสียภาษีนั้น ไม่ใช่เพราะพระภิกษุสงฆ์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี แต่เป็นเพราะเงินได้ที่พระภิกษุสงฆ์ได้รับนั้น เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย
กรณีพระภิกษุสงฆ์ได้รับเงินเดือน มีข้อหารือกรมสรรพากร กค 0811/9414 ว่า พระภิกษุสงฆ์ที่ได้รับเงินเดือนจากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัย ที่จัดตั้งขึ้น เพื่อให้การศึกษาแก่พระสงฆ์และคฤหัสถ์ มีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ มีเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ ซึ่งได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณแผ่นดินในหมวดเงินอุดหนุน พระภิกษุสงฆ์ได้รับเงินเดือนจากมหาวิทยาลัยฯ นั้น เงินดังกล่าว ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) ตามประมวลรัษฎากร และไม่มีกฎหมายใดยกเว้นภาษีเงินได้ให้ ดังนั้นพระภิกษุสงฆ์จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีข่าวว่า ควรที่จะมีกฎหมายให้พระภิกษุสงฆ์ต้องเสียภาษี เพราะมองว่า ปัจจัยทั้งหลายที่ได้รับ คือ รายได้ รวมถึงเสนอให้มีกฎหมายควบคุมบัญชีเงินวัดทั่วประเทศ พร้อมกำหนดบทลงโทษ หลายฝ่ายและคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย ส่วนมากมองว่า เงินที่ถวายให้วัดและพระภิกษุสงฆ์เกิดจากจิตศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
ในกรณีของวัด กฎหมายหลักที่ดูแลในเรื่องการจัดการทรัพย์สินของวัดคือ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505แก้ไขเพิ่มเติม โดยพ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535ซึ่งยังมีกฎกระทรวงฉบับต่างๆ ที่ออกตามกฎหมายฉบับนี้ซึ่งให้อำนาจแก่เจ้าอาวาสเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของวัด และให้มีการแต่งตั้งไวยาวัจกรหรือคณะกรรมการวัดขึ้นมาดูแลตรวจสอบทรัพย์สินของวัด รวมถึงมติมหาเถรสมาคม (มส.) ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ คณะสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคม เป็นองค์กรสูงสุดในการปกครองคณะสงฆ์ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นเลขาธิการ
กรณีการเก็บภาษีพระภิกษุสงฆ์ สิ่งที่ควรรู้ คือ หากมีคดีความใดที่พระภิกษุสงฆ์ต้องเข้าไปเกี่ยวกับกรมสรรพากร โดยปกติต้องมีการขอคำสั่งจากศาล เช่น บัญชีธนาคาร กรณีนี้ทางกรมสรรพากร สามารถอายัดบัญชีได้เมื่อมีคนร้องทุกข์
วิธีการที่จะเรียกเก็บภาษีจากพระภิกษุสงฆ์ จะทำโดยเสนอให้วัดต้องทำบัญชีกลางของวัด เพื่อให้ขึ้นกับกรมสรรพากร หากการนำเสนอนี้ผ่านเป็นกฎหมาย ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) จะทําข้อตกลงกับธนาคารว่า ต้องนำส่งข้อมูลบัญชีธนาคาร ของพระทั่วประเทศมาที่สำนักงานพระพุทธฯ ไม่เพียงเท่านี้ ยังจะมีการออกกฎ ที่ไม่ให้พระภิกษุสงฆ์รับเงิน หรือใช้ ให้คนอื่นรับเงิน และให้ครอบคลุมถึงสิ่งมีค่าที่สามารถแลกเปลี่ยน ซื้อขายได้ เช่น ธนบัตร บัตรเอทีเอ็ม ให้พระภิกษุสงฆ์ ทุกรูป ต้องโอนทรัพย์สินมีค่านั้นเข้าบัญชีกลางของวัด
หากเป็นเช่นนี้ กรณีที่พระภิกษุสงฆ์มีเงินของตนอยู่ในบัญชีมาก่อน 1,000 บาท ต่อมาเมื่อมาบวชผู้มีจิตศรัทธาถวายปัจจัยให้ 2,000 บาท รวมกับเงินที่มีอยู่ก่อนเป็น 3,000 บาท เงินที่รับมาใหม่ 2,000 บาทต้องเข้าบัญชีกลางของวัด แต่เมื่อท่านไม่ได้ เข้าบัญชีของพระรูปนี้น จะถูกสํานักพุทธฯ แจ้งความดําเนินคดีได้แล้วบัญชีและจะถูกอายัด ในข้อหาฟอกเงินและ หลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งคดีนี้ถือเป็นคดีอาญา ทั้งต้องถูกจับสึก
ความเดือดร้อนตกที่นั่งลำบาก ย่อมเกิดขึ้นสำหรับพระภิกษุสงฆ์ทํางานเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย หรือทํางานเพื่อพระพุทธศาสนา ที่หลีกเลี่ยงการใช้เงินไม่ได้ซึ่งมีญาติโยมถวายปัจจัยเป็นค่าอํานวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าท่านจะได้รับปัจจัยเท่าใด ท่านต้องนําปัจจัยดังกล่าวเข้าบัญชีกลางของวัด หากฝ่าฝืนเท่ากับหนีภาษี โดนข้อหาฟอกเงิน จบลงด้วยการจับสึก
การเก็บภาษีจากวัดหรือพระภิกษุสงฆ์ที่ประกอบกิจการลักษณะพุทธพาณิชย์ เช่น ปลุกเสกวัตถุมงคลจำหน่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องของศาสนกิจ พุทธศาสนิกชนชาวไทยน่าจะยอมรับได้มากกว่า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี