การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย มี 2 ระบบ คือ แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และแบบบัญชีรายชื่อ
สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งมีมาแต่เดิมและใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ส่วนสส. แบบบัญชีรายชื่อ เริ่มมีครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และถือเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นในวงการเมืองไทย
สส. แบบบัญชีรายชื่อ เป็นการเลือกสส. ที่ประชาชนเลือกพรรคการเมือง แล้วนำคะแนนที่ได้รับเลือกจากทั้งประเทศ นำมาคำนวณเป็นสัดส่วนว่า แต่ละพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกจะมีจำนวน สส. ตามบัญชีรายชื่อที่เสนอได้สส. พรรคการเมืองละกี่คน และหากสส.แบบบัญชีรายชื่อคนใดลาออกจากการเป็น สส. ไม่จำเป็นต้องเลือกตั้งใหม่ เพราะผู้ที่มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไป จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งสส.บัญชีรายชื่อแทน
แนวความคิดการให้มี สส. แบบบัญชีรายชื่อ ประเทศไทยรับแนวความคิดมาจากประเทศเยอรมนี ที่มีแนวความคิดว่า คนมีความรู้ความสามารถ หรือนักวิชาการที่เหมาะจะเข้ามาทำงานในสภาผู้แทนราษฎร อาจไม่เก่งในเรื่องการหาเสียง การเข้าหาและการรับปากประชาชน เหมือนนักการเมืองอาชีพ จึงให้มีสส. แบบบัญชีรายชื่อ เพื่อให้คนกลุ่มนี้ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนนักการเมืองอาชีพจะได้ไปหาเสียงและลงรับสมัครเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
แต่เมื่อประเทศไทยรับแนวความคิดในเรื่อง สส. แบบบัญชีรายชื่อกลับกลายเป็นว่า ผู้ที่มีรายชื่อเป็น สส. ประเภทนี้ เป็นสส.อาวุโสที่พรรคไม่ต้องการให้เหนื่อยกับการหาเสียงเลือกตั้ง และผู้มีอุปการคุณต่อพรรค ด้วยการบริจาคเงินให้พรรคเป็นจำนวนที่สูง จะอยู่ในลำดับบัญชีรายชื่อต้นๆ ซึ่งจะมีโอกาสมากที่จะได้รับเลือกเป็นสส.แบบบัญชีรายชื่อ
สภาพและสถานะของสภาผู้แทนราษฎรไทยในขณะนี้ มีสภาพไม่ต่างกับคนง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่สามารถประชุมลงมติในเรื่องที่สำคัญได้
เพราะมีสส.เข้าร่วมประชุมน้อยเกินไปจนไม่ครบองค์ประชุม เพราะส่วนหนึ่งลาออกไปเพื่อเข้าสมัครพรรคการเมืองใหม่ที่เห็นว่ามีโอกาสมากกว่า และส่วนหนึ่งเป็นเพราะเล่นเกมการเมือง
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเกิดขึ้นกับประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ สมควรที่จะยุบสภาและเลือกตั้งใหญ่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ประเทศไทยไม่ทำ อาจเป็นเพราะพรรคการเมืองใหญ่บางพรรค ที่มีบารมีสูงยังไม่มีความพร้อม เนื่องจากยังไม่สามารถจัดตั้งสาขาพรรคในทุกจังหวัดที่จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ทันตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
แม้จะยังไม่ยุบสภาแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เริ่มเตรียมการเลือกตั้งใหญ่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
กกต.ได้กำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 400 คน แต่ละเขตเลือกตั้งจะมีสส. 1 คน
กกต.ยึดถือจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรไทย วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จากฐานข้อมูลของสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นฐานในการคำนวณจำนวน สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
ข้อมูลดังกล่าวทั่วประเทศมีจำนวนราษฎรเป็นคนสัญชาติไทย 65,106,481 คน และจำนวนราษฎรที่ไม่ได้สัญชาติไทย 983,994 คน (ไม่มีเลขประชาชน 13 หลักแบบคนไทย แต่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน) รวมเป็นจำนวนราษฎร ทั่วประเทศ 66,090,475 คน
กกต.นำจำนวนราษฎรทั่วประเทศ 66,090,475 คน หารด้วยจำนวน สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน และถือว่า สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 1 คน เป็นตัวแทนของราษฎรจำนวน 165,226 คน โดยเป็นประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566
ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งฉบับนี้ ได้สร้างความมึนงง และหาวเรอ ให้แก่บุคคลทั่วไปพอสมควร เพราะเป็นการยอมรับจำนวนราษฎรที่ไม่มีสิทธิเลือกตั้งเนื่องจากเป็นคนต่างด้าวเข้าไปด้วย
กกต. ยึดถือคำว่าราษฎรตามข้อมูลของสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเถรตรงเกินไป แบบศรีธนญชัย เพราะเจตนารมณ์ของข้อมูลนั้น มุ่งจะหาข้อมูลว่ามีคนอยู่ในระบบ ทะเบียนบ้านเป็นจำนวนเท่าใด
เมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานทะเบียนราษฎร แม้จะมีคำว่าราษฎรแต่คำเดียวกันนี้ ในกฎหมายนี้ ย่อมต้องคำนึงถึงจำนวนราษฎรที่มีสิทธิเลือกตั้ง เป็นสำคัญ (โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนราษฎรที่เป็นคนต่างด้าวและไม่มีสิทธิเลือกตั้ง) จึงจะถือว่าเป็นการตีความกฎหมายที่สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริงและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ตีความเถรตรงแบบศรีธนญชัย
หากยึดถือตามการตีความ กฎหมายของ กกต. จะก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยเฉพาะในเขตที่มีราษฎรมีสิทธิเลือกตั้งอยู่เต็มพื้นที่ ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องออกแรงหาเสียงมาก
ในทางตรงกันข้าม ในเขตที่มีราษฎรที่คนต่างด้าวแต่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎรอยู่กันเป็นจำนวนมาก ผู้สมัครรับเลือกตั้งอาจไม่ต้องออกแรงมาก เพราะผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งจริงๆ มีอยู่จำนวนน้อยเมื่อเทียบกับเขตเลือกตั้ง
ประเด็นเรื่องการย้อนแย้งในการตีความเกี่ยวกับราษฎรผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง อาจารย์วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องกฎหมายได้ท้วงติงและแนะนำให้ กกต. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อให้เกิดความชัดเจน
แต่กกต. มีความเห็นว่า เป็นอำนาจของกกต. ที่จะวินิจฉัยได้เองไม่จำเป็นต้องยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ท่ามกลาง ความเป็นห่วงและกังวลใจของบรรดานักวิชาการว่า หาก กกต.ตัดสินใจและวินิจฉัยผิดพลาด อาจจะต้องจัดการเลือกตั้งใหญ่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ใหม่อีกครั้งและที่สำคัญคือ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดสำหรับการเลือกตั้งใหม่
แม้ กกต. อาจอ้างว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นและต้องเลือกตั้งใหม่ ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ทางรัฐต้องรับผิดชอบ
แต่ในทางความเป็นจริง ตามพระราชบัญญัติ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ. 2539 แม้รัฐจะรับผิดชอบต่อค่าเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ในกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือทุจริต เจ้าหน้าที่รัฐต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว เมื่อเทียบกับกรณีนี้ หากผิดพลาดขึ้นมา เมื่อมีผู้แสดงความคิดเห็นทักท้วงแล้ว กกต.ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพราะถือว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงซึ่งในทางความเป็นจริงคงไม่มีปัญญาและความสามารถที่จะรับผิดเป็นการส่วนตัวสำหรับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งทั่วประเทศได้
ในที่สุดกกต.ได้มีมติในวินาทีสุดท้าย ที่จะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตีความตามคำแนะนำของอาจารย์ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
งานนี้ต้องถือว่า กกต. มาช้า ยังดีกว่าไม่มา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี