คดีโฮปเวลล์ได้กลับมาสู่ความสนใจของประชาชนผู้เสียภาษีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่โครงการนี้ได้เริ่มต้นมานานถึง 34 ปี
โครงการนี้ได้เกิดขึ้นสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี และนายมนตรี พงษ์พานิชเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างถนน ทางรถไฟ และรถไฟยกระดับ บนพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือโอปเวลล์โฮลดิ้ง บริษัทสัญชาติฮ่องกง ของ นายกอร์ดอน วู
โครงการนี้ประสบปัญหาหลายประการตั้งแต่เริ่มแรก การก่อสร้างได้ดำเนินการเป็นเวลาถึง 7 ปี โดยมีความคืบหน้าในขณะนั้นเพียง 13.77% ทั้งที่แผนงานได้กำหนดไว้ว่า ขณะนั้นควรจะมีความคืบหน้าถึง 89.75%
กระทรวงคมนาคมจึงได้บอกเลิกสัญญาสัมปทานเมื่อวันที่ 20 มกราคม2541 และบริษัทโฮปเวลล์ ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541
ผลของการเลิกสัญญา เป็นเหตุให้บริษัทโฮปเวลล์ ได้ยื่นข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการให้วินิจฉัย ข้อพิพาทจากการเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหาย คณะอนุญาโตตุลาการ ได้มีคำวินิจฉัยให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท. ไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย บริษัทโฮปเวลล์จึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท. ได้ต่อสู้คดีและยกเรื่องอายุความขึ้นมาเป็นประเด็น ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท. รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท. ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ให้กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท. ชดใช้ค่าเสียหาย
กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับ คำร้อง
กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท. ได้พยายามใช้ช่องทางกฎหมายอื่น โดยยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ในประเด็นเรื่องอายุความ ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นชอบด้วยจึงได้นำเรื่องเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาและมีคำตัดสินว่า มติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดครั้งที่ 18/2545 วันที่ 27 พฤศจิกายน 2545 ที่ให้นับอายุความฟ้องคดีภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ศาลปกครองเริ่มทำการเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2544ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ด้วยเหตุนี้ กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท. จึงได้ร้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อพิจารณาคดีใหม่ ศาลปกครองกลางไม่เห็นชอบ กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท. ได้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2562 ให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่
วันที่ 18 กันยายน 2566 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยชี้ขาดอนุญาโตตุลาการหลังรับพิจารณาคดีใหม่ว่า กระทรวงคมนาคม และร.ฟ.ท.ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยพร้อมดอกเบี้ยให้กับบริษัทโฮปเวลล์เป็นเงินจำนวนกว่า 24,000 ล้านบาท โดยวินิจฉัยว่าบริษัทโฮปเวลล์ ยื่นข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่24 พฤศจิกายน 2547 เป็นเวลาเกินกว่า 5 ปี นับแต่วันได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2541 ซึ่ง บริษัทโฮปเวลล์ได้ยื่นข้อพิพาทพ้นกำหนด ไปถึง1 ปี 9 เดือน เพราะควรจะต้องเสนอข้อพิพาท ภายในวันที่30 มกราคม 2546 เนื่องจากเป็นระยะเวลาภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ควรจะรู้ซึ่งเป็นวันที่ บริษัทโฮปเวลล์ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาในวันที่ 30 มกราคม 2541 (ไม่ใช่นับจากวันที่ศาลปกครองเริ่มทำการ)
ศาลปกครองกลาง ได้ตัดสินตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดซึ่งนับอายุความ 5 ปี นับจากวันที่ศาลปกครองเริ่มทำการ
ปัญหาจึงมีว่า ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำวินิจฉัยว่า อายุความ 5 ปี ดังกล่าว จะเป็นไปตามแนวปฏิบัติตามมติของศาลปกครองสูงสุดตามเดิม หรือตามแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ที่สำคัญคือ ในอดีตที่ผ่านมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำวินิจฉัยตามแนวปฏิบัติซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดแล้วถึง 18 คดี หากจะเปลี่ยนแนวคำวินิจฉัยตามศาลรัฐธรรมนูญ ผลของคดีที่ตัดสินถึงที่สุดไปแล้วอีก 18 คดีจะปฏิบัติกันอย่างไร รวมถึงกรณีที่บังคับคดีกันไปแล้ว จะมีความพยายามรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่อีกหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง น่าจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในวงการยุติธรรมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ศาลปกครองสูงสุดอาจมีความเห็น และคำวินิจฉัยว่า คำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงการเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุด ไม่ได้เป็นการเพิกถอนคำตัดสินหรือคำวินิจฉัยของศาลปกครองโดยตรงแต่ประการใดมติที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุดถูกเพิกถอนไป แต่แนวความคิดและดุลพินิจของศาลปกครองสูงสุดไม่ได้ถูกเพิกถอนตามไปด้วย
นอกจากนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 (4) ได้บัญญัติไว้เป็นข้อห้าม ไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณา และวินิจฉัยเรื่องที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอื่น หรือเรื่องที่ศาลอื่นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว
แม้การที่กระทรวงคมนาคมและร.ฟ.ท. ไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนถึง 24,000 ล้านบาท จะถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการนำภาษีอากรของประชาชนมาจ่าย
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญและควรคำนึงถึงคือ ความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย และความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี