** วันก่อนเขียนถึงตัวเลขการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าของทางการว่า...ล่าสุดสามารถจับกุมได้คิดเป็นมูลค่ากว่า 580 ล้านบาท และ 3.2 พันคดี...ซึ่งสูงกว่าตัวเลขทั้งปี 2566 และปี 2567...ซึ่ง...แวดวงการเงิน...ก็ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าดูจากตัวเลขการจับกุม กับตัวเลขของกรมศุลกากรของประเทศจีนที่ระบุไว้ว่า ได้มีการส่งออกตัวเครื่องบุรี่ไฟฟ้าและน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามายังประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568...มูลค่าเพียงแค่หลัก 10 ล้านบาท...นั่นก็แสดงว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ทะลักเข้มาจากจีนประเทศเดียว...อาจจะมีต้นทางมาจากประเทศอื่นด้วย...เช่นประเทศมาเลเซีย...วันนี้...แวดวงการเงิน...มีข้อสังเกตเพิ่มเติมตรงที่...ในปี 2566...ตัวเลขศุลกากรของจีนระบุไว้ว่า มีมูลค่าส่งออกบุหรี่ไฟฟ้ามาประเทศไทยถึง 2 พันล้านบาท และปี 2567 แม้ว่าจะลดลงจากปี 2566 แต่ตัวเลขก็ระดับหลายร้อนล้านบาท...ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ลูกน้องของ คุณธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร...ก็แถลงข่าวการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าได้ทุกเดือน...รวมกันทั้งปีก็ประมาณปีละ 200 ล้านบาท...คิดเป็นเปอร์เซ็นต์การจับกุมเมื่อเทียบกับของที่อยู่ในตลาดถือว่าไม่มาก...ปี 2568 นี้ 7 เดือนจับได้เกือบ 600 ล้านบาท...ทั้งที่ตัวเลขที่ศุลกากรจีนสำแดงแค่หลัก 10 ล้านบาท...ก็มีข้อสังเกตได้ว่า อาจจะมีของจากแหล่งผลิตอื่นทะลักเข้ามามากขึ้น...แต่ๆๆๆ ของที่กรมศุลกากรไทยตรวจยึดได้ ล้วนแต่สำแดงได้ว่าเป็นฝีมือของผู้ผลิตชาวจีน...เมื่อตัวเลขสำแดงของกรมศุลกากรจีนต่ำเพียงนั้น และตัวเลขจับกุมสูงระดับนี้....ก็อดคิดไม่ได้ว่า...เดี๋ยวนี้เขาเลิกนำเข้ากันแล้ว แต่หันมาตั้งโรงงานผลิตในไทยมันซะเลย...ประเด็นนี้ไม่ใช่ว่า แวดวงการเงิน จะนั่งมโนภาพไปเองนะครับท่านเจ้าหน้าที่รัฐ...คนในวงการผู้สูบบุหรี่ถูกกฎหมายเขาก็รู้กันดีว่ามันมีอยู่จริง...ดังนั้นเรื่องคงต้องฝากไปถึง คุณจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง...ในฐานะที่กำกับนโยบายทั้ง กรมศุลกากร และการยาสูบแห่งประเทศไทย...คงต้องออกหน้าประสานงานกับหน่วยราชการอื่นนอกกระทรวงการคลัง...ในการตามสืบหาแหล่งผลิตบุหรี่ไฟฟ้าที่แอบซุกซ่อนอยู่ในประเทศไทย...เพราะการนี้เสียงของ รมช.คลัง ซึ่งเป็นคนในรัฐบาล ย่อมดังและทรงพลังกว่าเสียงของอธิบดีกรมศุลกากรอย่างแน่นอน...**

**อนันตเดช พงษ์พันธุ์**