หลังจากคว้าน้ำเหลว ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันรวมทั้งสัญญาใจใดๆจากอาตี๋คิมหลังพบปะกันครั้งที่สองในฮานอย ประธานาธิบดีผมเป๋ก็กลับมานั่งร้อนๆ หนาวๆ ต่อในอเมริกา ที่ว่าร้อนๆหนาวๆ เพราะลุงแกกำลังเจอศึกหนักรอบด้านไล่ตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจไปยันเรื่องในทำเนียบขาวเลย ก็แล้วกันชาวโลกจำสโลแกน “อเมริกาต้องมาก่อน” ได้กันทั้งโลกแต่ผลพวงจากการที่ลุงแกงัดข้อต่อกรกับพญามังกรไม่ได้เกิดผลดีอะไรกับพลเมืองในบ้านลุงแซมเลย แถมผลออกมายิ่งน่าตกใจเพราะยอดขาดดุลการค้าประจำปี 2018 พุ่งขึ้นถึง 12.5% เป็น 621,000 ล้านดอลลาร์ สูงที่สุดนับจากปี 2008 หรือถดถอยสุดๆในรอบสิบปเลยทีเดียวเท่ากับสะท้อนผลนโยบายด้านการค้าของทรัมป์ว่าล้มเหลวไม่เป็นท่า ที่แสบทรวงยิ่งกว่านั้นคือถึงลุงแซมจะพยายามไล่กระทืบอาเฮียมังกรจีนอย่างหนัก แต่ปรากฎว่าตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯต่อจีน กลับขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 419,200 ล้านดอลลาร์ สูงสุดเท่าเที่เคยมีมาเลยนะจ๊ะ ลุงจ๋า แถมที่เคยคุยฟุ้งไว้ว่า “การค้าที่ไม่สมดุลคือความพ่ายแพ้ของชาติ” แล้วลุงจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ว่าอย่างไรดีล่ะแค่นี้จิ๊บๆ เพราะลุงนั้นทวิตทั้งวันจะกลับผิดเป็นถูกหรือเม้ามอยอย่างไรก็ได้ อย่างไรเสียเรื่องผลประโยชน์ชาติคงไม่ทำให้ลุงสะดุ้งโหยงได้เท่าศึกล้มช้างของฝ่ายพรรคเดโมแครตในเวลานี้หรอก
อธิบายนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่ใช่คอการเมืองอเมริกาพรรคทั้งสองพรรคในอเมริกา มีสัญลักษณ์เป็นสัตว์สองชนิดสัญลักษณ์พรรคเดโมแคตคือลา ส่วนสัญลักษณ์พรรครีพับลิกันคือช้างศึกล้มช้างครั้งนี้ พี่ลาหัวชนฝาสู้ตายแน่นอนทรัมป์ถูกสอบสวนเรื่องการเลือกตั้งที่มีเอี่ยวกับรัสเซีย หน่วยข่าวกรองยืนยันว่ารัสเซียได้พยายามแทรกแซงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 โดยเจาะเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของพรรคเดโมแครต ปล่อยข่าวสกัดฮิลลารีคลินตัน เพื่อให้ลุงทรัมป์แกชนะเรื่องนี้มีการสอบสวนอย่างต่อเนื่องลากยาวมาสองปี โดยอัยการพิเศษโรเบิร์ต มุลเลอร์ซึ่งได้รับมอบหมายจากกระทรวงยุติธรรมให้เข้ามาคุมเข้มคดีรัสเซียสองปีผ่านไปไวเหมือนโกหก มุลเลอร์ใกล้สรุปสำนวนคดีนี้แล้วยิ่งทำให้ประธานาธิบดีผมเป๋สะดุ้งวาบๆ เพราะไม่รู้หมู่หรือจ่าว่าขุดเจออะไรบ้าง แม้ว่าผลสรุปจะยังไม่ออกมาแต่มีผลให้ทรัมป์เช็ดเหงื่อป้อยๆ พลอยใจเต้นไม่เป็นส่ำไอ้ปัญหาที่ว่านี่ก็หนักอกพอแรงอยู่แล้ว มิสเตอร์เพรสสิเดนต์เจอปังตอเข้าให้อีกดอกเพราะตั้งแต่พรรคเดโมแครตเข้ามากุมเสียงข้างมากในสภาล่างพรรคลาก็เริ่มขุดคุ้ยลุยทรัมป์อย่างไม่รามือ หวังพบหลักฐานที่อาจเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมและใช้อำนาจโดยมิชอบ โดยมีการสาวลึกลงไปถึงสมาชิกในครอบครัว บุคคลใกล้ชิดและธุรกิจของตระกูลทรัมป์ทั้งหมด ซึ่งอาจนำไปสู่การถอดถอนหรืออิมพีชเมนต์ได้ในอนาคต
ประธานคณะกรรมาธิการตุลาการแห่งสภาผู้แทนราษฎรส่งจดหมายขอเอกสารจากบุคคลและนิติบุคคล 81 ราย ที่มีความเกี่ยวข้องกับทรัมป์ ในจำนวนนี้ยังรวมถึงบุตรชาย โดนัลด์ทรัมป์ จูเนียร์ และ อีริค ทรัมป์, เจเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขย และ แอลเลนไวส์เซลเบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัท ทรัมป์ออร์แกไนเซชันนอกจากนี้ยังรวมถึง สตีฟ แบนนอน และ โฮป ฮิกส์อดีตผู้ช่วยทำเนียบขาว, เจฟฟ์ เซสชันส์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม,ฌอน สไปเซอร์ อดีตเลขานุการฝ่ายสื่อ, ดอน แม็กกาห์นอดีตที่ปรึกษาทำเนียบขาว, สมาคมไรเฟิลแห่งชาติ (National RifleAssociation) และ จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์วิกิลีกส์โอ้โห..แซบจริงอะไรจริง เพราะถือเป็นตัวเบิ้มทั้งนั้น
อย่างที่เขียนเล่าไปแล้วว่าหลักฐานเด็ดเผ็ดร้อนหนึ่งที่อดีตทนายของทรัมป์นำมาแสดง คือสำเนาเช็คที่จ่ายให้คุณตัวและดาราหนังโป๊แต่จ่ายในนามของโคเฮนไปก่อน และทรัมป์จะโอนเงินคืนให้ทีหลังเพื่อไม่ให้สาวถึงตน แต่โคเฮนเอาสำเนามาแฉให้ประจักษ์หลักฐานกันทั่วบ้านลุงแซมและทั่วโลกโคเฮนโชว์เช็คมูลค่า 35,000 ดอลลาร์ ที่มีลายเซ็นของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของทรัมป์กำกับเด่นหราโดยแฉว่านี่เป็นแค่ 1 ในทั้งหมดจาก 12 ฉบับ ที่ได้รับสำหรับการจ่ายคืนหลังจากตนจ่ายค่าปิดปากดาราหนังโป๊ 130,000 ดอลลาร์ เรื่องนี้ถือเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง
ฝ่ายเดโมแครตชกรัวๆ แบบรุกหนัก ลุงแกตกเก้าอี้ลำบากเพราะกำลังถูกสอบโดยพรรคเดโมแครตในสภาล่างไม่ต่ำกว่า 6 คดี ส่วนพรรคเดโมแครตในสภาสูงก็รับลูกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทั้งบีบทั้งเค้นให้ได้ข้อมูลมาจัดหนัก เจอแบบนี้ฝ่ายรีพับลิกันต่างชูงวงร้องฮูมๆ เมื่อโดนลาถีบฟาดงวงฟาดงาแล้วเอาตัวขวางไว้ไม่ให้ลาตัวแสบตะกุยถีบได้ถนัด แต่ฝ่ายรีพับลิกันบางคนก็แปรพักตร์มาจับมือกับเดโมแครตเสียนี่เลยยิ่งทำให้ศึกนี้ระทึกอเมริกายิ่งกว่าศึกวันทรงชัย อย่าคิดว่าลุงทรัมป์หรือจะยอมสยบสงบนิ่งลุงแกก็ทวิตด่าลั่นโลกตามสไตล์ลุงนั่นแหละ ลอยหน้าทวิตรัวๆว่า “ผมเป็นคนบริสุทธิ์ที่กำลังถูกกลั่นแกล้งทางกฎหมายจากพวกคนเลวฉ้อฉล นี่คือกระบวนการล่าแม่มดผิดกฎหมายทั้งหมดนี้เพราะผมชนะการเลือกตั้งเท่านั้นแหละ”
จากนั้นก็โบ้ยว่าความล้มเหลวทั้งหมดในการเจรจากับอาตี๋คิมที่ฮานอย คือผลพวงจากการที่ไอ้พวกพรรคลารุมกระทืบตน เดี๋ยวนะจ๊ะ ลุง ฟังดูคุ้นๆหูมากเลยกับเหตุการณ์บางอย่างในเมืองไทยที่ขี้เยี่ยวไม่ออกก็โทษรัฐประหารไว้ก่อน มาฟังดูว่าลุงแกโบ้ยว่ายังไง “พวกเดโมแครตไต่สวนคนขี้โกงและโกหก (หมายถึงโคเฮน) ขณะที่ประชุมซัมมิตนิวเคลียร์ที่สำคัญยิ่งกับเกาหลีเหนือถือได้ว่าเป็นจุดตกต่ำที่สุดของการเมืองอเมริกันและอาจมีส่วนทำให้ต้องถอยออกมา” ไม่ว่าจะโดนลุงผมเป๋จิกกัดอย่างไรฝั่งพรรคลาก็ยักไหล่ไกวแขนแล้วอธิบายว่า
เดโมแครตแค่ทำหน้าที่ในการปกป้องหลักนิติธรรมหลังจากที่รีพับลิกันปกป้องทรัมป์ จากการถูกตรวจสอบมายาวนานถึง 2 ปี แปลแบบบ้านๆ คือ “ทีใครทีมัน” หรือ “ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย” ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ทำลุงทรัมป์สั่นเป็นเจ้าเข้าตวาดด่าสะท้านโลกว่าไอ้พวกเดโมแครตมันบ้าไปแล้ว แถมผลักทำเนียบขาวให้ออกมาเป็นแนวร่วมด้วยการเสี้ยมพวกอนุรักษ์นิยมให้หวาดกลัวความ “ซ้าย” เพราะการปลุกผีว่าพวกเดโมแครตจะทำให้อเมริกากลายเป็นสังคมนิยมที่ตลกมาก คือลุงผมเป๋ทำตัวเป็นเหยื่อที่น่าสงสารด้วยการให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า การตรวจสอบของเดโมแครตเป็นเกมการเมืองล้วนๆ แล้วอ้อนแม่ยกหัวคะแนนผู้สนับสนุนว่าประธานาธิบดีกำลังถูกล่วงละเมิดอ้อนยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็เจอหมัดเด็ดจนหงายเงิบ เมื่อไท ค็อบบ์ อดีตนักกฎหมายประจำทำเนียบขาวของทรัมป์ให้สัมภาษณ์เอบีซีนิวส์ โดยยกย่องมุลเลอร์ว่าเป็นวีรบุรุษและยืนยันว่า การสอบสวนของมุลเลอร์ไม่ใช่การล่าแม่มดแว่วเสียงปี่กลองฉิ่งฉับมาแต่ไกล ศึกลาชนช้างคงลากยาวเป็นซีรีย์สงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งลุงผมเป๋ยืนยันว่าจะลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองในปี 2020 ด้วยแล้ว คงมีเรื่องลากไส้ให้ชาวโลกได้เห็นความน่ารักของประชาธิปไตยไปอีกนาน
.......................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี