ออกอาการตื่นเต้น!!
สุดประมาณการกับความตื่นตัวและหื่นกระหายในประชาธิปไตยของประชาชนคนไทย จากการเลือกตั้งล่วงหน้าและการเลือกตั้งในต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมาหลังจากที่ไม่ได้ใช้สิทธิ์เยี่ยงนี้มากว่า 8 ปี(เลือกตั้งครั้งสุดท้าย 3 กรกฎาคม 2554) โดยประมาณว่าอยู่ระหว่างร้อยละ 80-85 ทำให้คาดการณ์กันว่าในวันที่ 24 มีนาคมวันกำหนดอนาคตประเทศไทยน่าจะมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์เพื่อกำหนดทิศทางประเทศไทยในระดับร้อยละ 85 ถึง 90 เลยทีเดียว พร้อมเสียงโหยหวนว่าประชาชนจะออกมาขับไล่พรรคการฝ่ายเผด็จการและที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารตามวาทกรรมการเมือง เพื่อให้ฝ่ายประชาธิปไตยได้เข้ามาบริหารประเทศแบบถล่มทลายก็คงไม่อาจโต้แย้งได้ขณะนี้เพราะยังไม่ถึงเวลา 17.00 น.ของวันที่ 24 มี.ค. 62
แต่สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร
ถามว่า นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยหมายถึงพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองไหน เพราะคำว่าประชาธิปไตย มิได้หมายความเพียงการเลือกตั้ง แต่หมายถึงหลักการปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่ และ/หรือการบริหารอำนาจรัฐที่มาจากเสียงข้างมากของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยประชาชนอาจใช้อำนาจนั้นด้วยตนเองหรือใช้ผ่านผู้แทนราษฎรที่เลือกไปใช้อำนาจนั้นแทนก็ได้ ประชาธิปไตยยังเป็นอุดมคติที่ว่าพลเมืองทุกคนในชาติร่วมกันพิจารณากฎหมายการปฏิบัติของรัฐ และกำหนดให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสแสดงความยินยอมและเจตนาของตนเท่าเทียมกันการโดยที่เสียงส่วนใหญ่ต้องฟังและเคารพเสียงส่วนน้อยด้วย
มิใช่อย่างกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2556 ณเวลาราวตีสามเศษที่สังคมประณามว่าเป็นการลักหลับออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อพวกพ้องซึา่งมิใช่การดำเนินการตามวิถีทางประชาธิปไตย เพราะฝ่ายเสียงข้างมากทำทุกหนทางที่จะปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของเสียงส่วนน้อยที่คัดค้านเสียงส่วนใหญ่ตลอดระยะเวลาในการประชุมพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรมทั้งที่มีการยื่นขอแปรญัตติ สงวนคำแปรญัตติ เสนอตัดทิ้งบางมาตรา หรือทั้งการใช้เสียงข้างมากปิดการอภิปรายและลงคะแนนเพื่อผ่านร่างกฎหมายออกมาบังคับใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง จนนำพาไปสู่การชุมนุมประท้วงจนบ้านเมืองวุ่นวายและสามารถเข้าสู่ความสงบสุขด้วยการรัฐประหารของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา และคณะคสช.ในเวลาต่อมาหรือกรณีการพิจารณาร่างพระราชกำหนดแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต เมื่อปี 2527 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2546 ในรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” พรรคไทยรักไทยที่กลายพันธุ์ตามหลักการการแตกแบงก์พันเป็นแบงก์สิบแบงก์ร้อยจนได้ พรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคไทยรักษาชาติและอื่นๆอีกมากมายในปัจจุบัน ก็จัดอยู่ในเกณฑ์ลุแก่อำนาจ อ้างเสียงสวรรค์จากการลงคะแนนเลือกตั้งที่ประชาชนมอบให้จนสามารถผ่านกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนกระทั่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐจำนวนกว่าหกหมื่นล้านบาท ทั้งยังขัดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2540 มาตรา 218 วรรคหนี่ง ถือว่าเป็นการลุแก่อำนาจทรยศประชาชน อ้างประชาชนอ้างเสียงสวรรค์ทางการเมืองเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจส่วนตัว
การสืบทอดอำนาจล่ะ เป็นแค่วาทกรรมในการหาเสียงสาดโคลนใส่ฝ่ายตรงข้ามหรือเป็นความจริงอย่างไร แต่ผมขอยกตัวอย่างการเมืองไทยในช่วงเกือบ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เก้าอี้นายกรัฐมนตรี วนเวียนอยู่กับคนในตระกูล “ชินวัตร” และพวกพ้องเครือญาติมาโดยตลอด น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการสิบทอดอำนาจได้หรือไม่ แต่เกือบทุกตัวคนก็เหิมเกริม ลุแก่อำนาจสร้างรอยด่างพร้อยในวงการการเมืองไทยเยี่ยงเดียวกับ “สุทธาเทพ”
ถามว่า “สุทธาเทพ” มาจากไหนนั้น ก็เพราะพฤติกรรมเดิมๆที่นักการเมืองบางคนบางกลุ่ม พรรคการเมืองบางำพรรคเคยแสดงไว้ ทำให้ผมนึกถึง “ขวานฟ้า สุทธาเทพ” เทวดาล้างเท้าที่เหกิมเกริมลุแก่อำนาจเพียงแค่ได้รับขวานฟ้าจากพระอิศวรมาเป็นอาวุธประจำกาย จนละเมิดกฎแห่งสวรรค์ ยิ่งบังเอิญซ้ำด้วยการเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปดูละครนิทานพื้นบ้าน จักร ๆ วงศ์ ๆ ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 สลับกับรายงานสดการลงคะแนนเลือกตั้งส.ส.ล่วงหน้า ทำให้คิดเปรียบเทียบเรื่องราวสองเรื่องนี้ด้วยกัน แต่ท่านทั้งหลายจะคิดเห็นประการใดหรืออาจจะคิดต่างก็เป็นเสรีภาพทางความคิดครับ นี่แหละประชาธิปไตย
ความจริงนิทานพื้นบ้านเรื่อง “ขวานฟ้าหน้าดำ” เคยออกอากาศมาแล้วทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 หมอชิต เมื่อปี 2540-2541 ก่อนที่โจรหน้าเหลี่ยม “ทักษิณ ชินวัตร”จะพลิกผันจากนักธุรกิจลงสู่สนามการเมืองเสียอีก จึงอาจจะทราบเนื้อหาความเป็นมาเป็นไปอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว ส่วนที่ผมบอกว่าเห็น “ขวานฟ้า หน้าดำ” แล้วฉุกคิดถึงการเมืองไทย ก็เพราะว่า
“ขวานฟ้า”นั้นเป็นอาวุธประจำกาย “สุทธาเทพ” ซึ่งแต่เดิมเป็นเทวดาชั้นผู้น้อยโดย “สุทธาเทพ” ที่มีความเจียมเนื้อเจียมตัว มีหน้าที่ล้างเท้าให้เหล่าเทวดานางฟ้าผู้มาเข้าเฝ้าพระอิศวรโดยที่เทวดานางฟ้าเหล่านั้นชอบแกล้งและรังแก “สุทธาเทพ” เป็นประจำ “พระอิศวร” จึงประทานขวานฟ้าให้ “สุทธาเทพ” ไว้ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว ทว่า “สุทธาเทพ” นั้นเมื่อได้รับขวานฟ้ามาแล้วก็มีสันดานเปลี่ยนไป สำคัญตนผิด ทะนงตนคิดว่าพระอิศวรหนุนหลังให้ท้ายตนเองสามารถทำอะไรก็ได้กับนางฟ้าเทวดาเหล่านั้นจึงมุ่งดำเนินการต่าง ๆ จนผิดกฎสวรรค์เกิดเป็นความวุ่นวายแตกแยก บนสรวงสวรรค์ ทำให้พระอิศวรต้องใช้ไหว้วานให้”พระอาทิตย์” หรือ “สุริยะเทพ” ไปปราบและเตือนสติให้ “สุทธาเทพ” หยุดสร้างความแตกแยกวุ่นวายบนสรวงสวรรค์
“สุริยะเทพ”บอก “สุทธาเทพ”ว่า ใช่ว่าเมื่อเจ้ามีขวานฟ้าแล้วจะสามารถกระทำใดใดได้ทุกอย่างกระทั่งละเมิดกฎแห่งสวรรค์ เมื่อเจ้าเล่นกับไฟเจ้าก็ต้องเจอไฟร้อนแผดเผาเป็นเรื่องปกติวรรคนี้แหละที่ทำให้ผมนึกถึงการเมืองไทยนึกถึงเสียงเห่าหอนของนักการเมืองไทยที่ผ่านการลงสนามเลือกตั้งมาจนประสบชัยชนะจากนั้นก็พยายามบอกว่าคะแนนที่ได้รับจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งคือเสียงสวรรค์คืออำนาจสิทธิ์ขาดที่จะกระทำการเลวร้ายใดใดก็ได้
นักการเมืองไทยเมื่อได้รับชัยชนะ เมื่อกลับมามีอำนาจกลับลืมการทำความดีบริหารประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง เศรษฐกิจประเทศชาติมั่งคั่ง ยั่งยืน คิดแต่จะกอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ทะนงตนว่าประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมอบดาบอาญาสิทธิ์ให้คนและพรรคการเมืองของตนจนเกิดการทุจริต สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติไม่รู้จักจบจักสิ้น
24 มีนาคม 2562 จึงเป็นเวลาและนัดหมายของปวงชนชาวไทยที่จะตัดสินใจ กำหนดทิศทางประเทศไทย กำจัดนักการเมืองขี้ฉ้อสร้างวาทกรรมแบ่งแยกมวลชนออกเป็นสองฝ่ายสร้างความวุ่นวายให้แก่ประเทศไทยแบ่งเป็นฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายเผด็จการสืบทอดอำนาจอีกครั้ง
ถึงเวลาสร้างเสรีภาพสร้างประชาธิปไตยโดยสุจริต สร้างบทเรียนให้นักการเมืองหลาบจำ กำจัดกลุ่มการเมืองที่ลุแก่อำนาจสร้างความหายนะให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนที่เคยทำมาในอดีตให้หมดสิ้น
อย่าให้เทวดาชั้นต่ำอย่าง “สุทธาเทพ” ที่ลุแก่อำนาจจนไม่สนใจกฎหมายและหลักการมีที่ยืนในการเมืองไทย
อย่าให้โอกาสนักการเมืองเลวนักการเมืองชั่ว ร่วมกระทำการและยกดมือสนับสนุนการทุจริต คอรัปชั่นด้วยการออกกฎหมายเพื่อความชอบธรรมในการสร้างผลประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้องโดยไม่สนใจกฎหมายกลับมาเป็นใหญ่มาบริหารประเทศชาติบ้านเมืองของเราได้อีก
24 มีนาคม ได้เวลารวมพลังกำจัด “ขวานฟ้า สุทธาเทพ”
วรพจน์ แสนประเสริฐ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี