คำว่า “ปฏิวัติ” คุ้นหูคนไทยมาตั้งแต่ในสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 แล้ว และยิ่งกลายเป็นคำฮิตมากขึ้นเมื่อมีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หลังจาก “คณะราษฎร” ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ได้สำเร็จแล้วแย่งชิงอำนาจกันเอง
พร้อมกันนั้นข่าวสารการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองในประเทศต่างๆก็หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งล้วนเป็นเรื่องฝ่ายคอมมิวนิสต์ต่อสู้กับฝ่ายครองอำนาจเดิมทั้งสิ้น จึงยิ่งส่งเสริมให้คำนี้ติดปากคนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยม (ช่วงแรกของระบอบคอมมิวนิสต์)
คำว่า “ปฏิวัติ” มีความหมายว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบ (regime) ในด้านการเมือง ในด้านวัฒนธรรมทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง เป็นต้น การปฏิวัติจึงไม่ต่างจากการเปลี่ยน “กระบวนทัศน์” ทางการเมือง (political paradigm) ซึ่งเกิดได้ยากกว่ารัฐประหาร
ส่วนคำว่า “รัฐประหาร” มีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบทางการเมือง (political system) โดยการยึดอำนาจเพื่อเป็นประมุขแห่งรัฐหรือเป็นผู้นำรัฐบาลเท่านั้น เช่นเปลี่ยนจากระบอบประชาธิปไตยเป็นเผด็จการ เป็นต้น
แต่ไม่ว่าจะมีการนิยามหรือให้ความหมายอย่างไร คำทั้ง 2 ก็มีความหมายไม่แตกต่างกันนัก คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงด้วยคณะบุคคลที่เป็นผู้นำ แล้วนำระบอบใหม่มาใช้แทนระบอบเก่า และส่วนมากก็ใช้วิธีรุนแรงหรืออาวุธทั้งสิ้น
ตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำรัฐประหาร แม้จะเห็นว่าไม่ได้ใช้กำลังอาวุธ แต่ความจริงนั้นมีการเตรียมพร้อมกำลังทหาร แต่โชคดีที่ไม่มีการต่อต้าน แถมประชาชนโดยทั่วไปยังสนับสนุนอีกด้วย ส่วนการปกครองนั้นย่อมก็เปลี่ยนจากระบอบประชาธิปไตย (มีการเลือกตั้ง) มาเป็นเผด็จการโดยคณะทหาร (แต่การบริหารประเทศก็ยังคงเดิมอย่างที่เคยเป็นมา = ตลาดเสรี)
ไม่ใช่เพียงแต่ในประเทศไทย ในประเทศทั่วโลกก็เหมือนกัน คือ ไม่ว่าใครจะเรียก “การยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง” ว่าอย่างไร ก็ล้วนแต่ใช้วิธีเดียวกัน
การเลือกใช้คำที่แตกต่างกัน มีผลแต่ในทางจิตวิทยาเท่านั้น คือกระตุ้นความรู้สึกและความหวังของผู้คน...ทั้งคนที่ยึดอำนาจและคนที่ได้ฟังคำนั้นๆ
คำว่า ปฏิวัติ กระตุ้นความรู้สึกรุนแรง รวดเร็ว ฉับพลัน ฮึกเหิม และให้ความหวังว่าเป็นงานใหญ่ ถ้าประสบความสำเร็จก็จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ดั่งใจหวังโดยรวดเร็ว
คำว่า รัฐประหาร กระตุ้นให้รู้สึกหวาดกลัว เป็นการรวบอำนาจเฉพาะคน เฉพาะกลุ่ม และไม่ควรต่อต้านขัดขืน
อีกคำหนึ่งที่คณะราษฎรใช้คือ “อภิวัฒน์” แปลว่า ความเจริญ ไม่มีความรู้สึกรุนแรง ไม่รวดเร็วฉับพลัน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงร่วมกันอย่างสันติและมีความหวัง!
แต่ความเป็นจริงการปฏิวัติ
“นักล่าอำนาจ” ทุกประเทศล้วนแต่ใช้คำเหล่านี้เป็นคาถาในการเปลี่ยนแปลงระบอบเศรษฐกิจการเมืองทั้งนั้น ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือพวกเขาล้วนต้องการเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้เป็นอย่างใจตนเองทั้งนั้น...ใจที่ยึดมั่นถือมั่นกับลัทธิอุดมการณ์หรือความเชื่อของตน แต่กลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงตนเอง
เราจึงเห็นนักปฏิวัติ นักรัฐประหาร หรือนักอภิวัฒน์ มีกมลสันดานเหมือนกันคือ เมื่อมีอำนาจก็กดขี่ผู้คนให้อยู่ภายใต้อำนาจของตน ส่วนลัทธิอุดมการณ์ที่ตนเคยป่าวประกาศตอนนำมันมาเป็น “ธง” ต่อสู้เพื่อชัยชนะนั้นก็กลายเป็นเสมือนเมฆที่ล่องลอยอยู่ในสายลม “อัตตาแห่งอำนาจ” ของพวกเขาได้รับการสถาปนาเข้ามาแทนที่ และมันกลายเป็นความถูกต้องชอบธรรมที่ทุกคนจะต้องคารวะและปฏิบัติตาม
ผมไม่ได้มโนเอาเอง แต่มีหลักฐานมากมายให้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นลัทธิอุดมการณ์ใดทั้งนั้น
มนุษย์ล้วนหลงคิดว่าชีวิตนั้นมีอัตตา เมื่อคิดว่ามีอัตตาก็ย่อมเห็นแก่อัตตาหรือเห็นแก่ตัว และอัตตานั้นมันไม่เคยมีสำนึกอะไร นอกจากขยายอาณาจักรแห่งอำนาจของมันออกไปควบคุมและคุกคาม - ครอบครองและครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ภายใต้อำนาจของมันให้ได้มากที่สุด
ฉะนั้น ไม่ว่านักปฏิวัติ นักรัฐประหาร หรือนักอภิวัฒน์ ก็ล้วนแต่เป็นอย่างที่กล่าวมา มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับ “สมบัติจิต” ของพวกเขา ว่าได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีศีลธรรมมามากน้อยแค่ไหน
สำหรับผม...นักปฏิวัติ นักรัฐประหาร หรือนักอภิวัฒน์ที่แท้นั้น จะต้องสร้างสมบัติจิตอย่างที่ตนป่าวประกาศว่ามีอยู่ในลัทธิอุดมการณ์ของตนให้ได้ก่อน
จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรม – ความเป็นธรรมในสังคม ก็ต้องสร้างสมบัติจิตของตนให้มีความยุติธรรม – ความเป็นธรรมเสียก่อน จึงออกไปปฏิวัติ รัฐประหาร หรืออภิวัฒน์สังคม
ตลอดประวัติศาตร์ของมนุษยชาติ ผมเห็นว่ามีนักปฏิวัติ นักรัฐประหาร หรือนักอภิวัฒน์ที่แท้อยู่คนเดียวคือ เจ้าชายสิทธัตถะ
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี