วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ผมเขียนบทความสั้นๆในเฟซบุ๊คก็มีคนสนใจเป็นส่วนตัวอยู่เนืองๆ วิธีสนใจก็มีทั้งก่นด่าหยาบคาย ทั้งตั้งคำถาม..คำถามที่พบบ่อยก็คือ “อยู่ฝ่ายไหน” เพราะดูเหมือนผมเป็นคน “หลักลอย”
คือไม่มีอุดมการณ์
ผมประกาศอยู่หลายครั้งว่าผมไม่ได้คิดว่าผมอยู่ฝ่ายไหน (ให้คนอื่นตัดสินเอง) ผมวิจารณ์การเมืองก็วิจารณ์ทีละเรื่อง ทีละประเด็น ไม่ใช่เหมาเข่ง..ที่เห็นว่ารัฐบาลไหนดีก็ดีหมดทุกเรื่อง ชั่วก็ชั่วหมดทุกเรื่อง..อย่างตอนนี้ผมก็เชียร์รัฐบาลให้ “สู้กับไวรัส” เรื่องอื่นค่อยว่ากันต่อไป
ผมไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรที่ต้องแบกมันไว้ หรือเป็นเครื่องมือของมัน อย่างมากก็มีแค่ “หลักคิด” ที่ว่า “เราทุกคนต้องอยู่ด้วยกันในประเทศนี้” ส่วนจะอยู่อย่างไร แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละคน ใครทำผิดกฎหมายก็ว่ากันไปตามกฎหมาย กฎหมายไม่ดีก็แก้ไขมัน ใครทำผิดต่อจริยธรรมของสังคมก็จะถูกสังคมลงทัณฑ์หรือไม่ลงทัณฑ์เอง
ผมไม่ได้คิดแบ่งแยกถึงกับเห็นคนที่คิดต่างเป็นศัตรูที่จะอยู่ร่วมประเทศกันไม่ได้ ที่ทะเลาะก็ทะเลาะกันไป ไม่อยากทะเลาะด้วยผมก็ยกเลิกการเป็นเพื่อน หรือไม่ก็บล็อก
“เราทุกคนต้องอยู่ด้วยกันในประเทศนี้”
ผมถือว่าเมื่อเราเกิดมาในประเทศนี้ด้วยกันก็ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าใครจะอยู่ในตำแหน่งหรือสถานะอะไร ทุกคนมี “หน้าที่” ของตนอยู่แล้วก็ทำไป
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทนอยู่กันแบบที่..คนส่วนหนึ่งอยู่ดีมีสุข ร่ำรวยล้นฟ้า แต่คนอีกส่วนหนึ่งไม่มีจะกิน ไม่มีที่จะซุกหัวนอน
ผมเห็นว่าเราต้องสร้าง “ดุลยภาพของสังคม” ให้ได้ ให้มันเป็น “สังคมดุลยภาพ” ทั้งเรื่องฐานะความเป็นอยู่หรือ “เศรษฐกิจ” และเรื่อง “จิตวิญญาณ” เพราะชีวิตนั้นประกอบด้วยส่วนที่เป็น “วัตถุกับจิต” (นามรูป) ก็ต้องทำ 2 ส่วนนี้ให้เกิดดุลยภาพในแต่ละตัวบุคคลด้วย แล้วมันจะส่งผลดีแก่สังคมอีกชั้นหนึ่ง
เป็นรากฐานรองรับสังคมที่จะพัฒนาด้านอื่นๆต่อไป เพราะสังคมคือผลรวมของคน
คนเป็นอย่างไร สังคมเป็นอย่างนั้น
สังคมเป็นอย่างไร คนเป็นอย่างนั้น
ต่างมีอิทธิพลแก่กัน แต่เราต้องเริ่มที่คนก่อน เพราะคนเป็นหลักที่เป็นเหตุให้มีเรื่องอื่นๆตามมา
“ดุลยภาพ” นั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ ซึ่งมีกฎของมันอยู่เองแล้ว จะเรียกว่า “นิเวศวิทยา” ก็ได้ จะเรียกว่า “อิทัปปัจจยตา” ก็ได้ เมื่อจะสร้างสังคมมนุษย์ให้มีดุลยภาพก็ต้อง “เอาอย่าง” ธรรมชาติ เพราะมนุษย์ก็เป็นธรรมชาติและอยู่ในธรรมชาติ (เพียงแต่มนุษย์แปลกแยกกับธรรมชาติเพราะสร้าง “อัตตา” ขึ้นมาด้วยการมโน)
และก็ไม่ได้สร้างดุลยภาพเฉพาะสังคมมนุษย์เท่านั้น แต่ต้องสร้างมนุษย์และสังคมมนุษย์ให้มีดุลยภาพกับธรรมชาติด้วย
ดังนั้นการสร้างดุลยภาพจึงต้องบูรณาการ 3 ส่วนให้เป็นองค์รวม คือ
1 มนุษย์ อย่างน้อยมนุษย์ต้องมีจริยธรรม ฯ มีความรับผิดชอบต่อตนและสังคม พัฒนาตนและสังคมขึ้นสู่เป้าหมายคือการมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข รวมถึงสรรพชีวิตอื่นและโลก
2 กิจกรรมทั้งหลายของมนุษย์ โดยเฉพาะเศรษฐกิจการเมือง มนุษย์จะต้องไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น เกื้อกูล แบ่งปันกัน มีความยุติธรรมและมีความเป็นธรรมแก่กัน
3 โลกธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ระบบนิวเวศ...โลกธรรมชาติที่เราเรียกว่าทรัพยากรธรรมชาติจะยั่งยืนอยู่ได้จะต้องถูกมนุษย์ใช้อย่างรู้คุณค่าและจำเป็น และถนอมรักษามันไว้เพื่อจะได้มีใช้ต่อไป เพราะหลายสิ่งหลายอย่างใช้แล้วหมดไป หลายสิ่งหลายอย่างสร้างทดแทนได้ แต่กระนั้นโลกธรรมชาติก็จะไม่เหมือนเดิมเสมอไป
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมด้วยว่า การผลิตและการบริโภคของมนุษย์เป็นโทษหรือไม่ อย่างขยะ น้ำเน่า สารพิษ เป็นต้น ถ้ามนุษย์ใช้โลกธรรมชาติอย่างระมัดระวัง ให้มีสภาพสมบูรณ์และสมดุลก็เป็นการถนอมรักษาระบบนิเวศเอาไว้ ผลที่จะตามมาก็คือ มนุษย์จะมีทรัพยากรธรรมชาติใช้ได้อย่างยั่งยืน และไม่ขาดแคลน
ส่วนวิธีบูรณาการก็ต้องใช้ 1 กฎหมาย 2 จริยธรรม 3 นโยบายพรรคการเมือง เข้าช่วย
เรื่องจริยธรรมกับนโยบายการเมืองนั้นผมขอข้ามไป เพราะทุกคนเข้าใจกันดีอยู่แล้ว
ส่วนกฎหมายจะเป็นอย่างไรนั้น คนรุ่นใหม่นิยมชมชอบความคิดของชาวตะวันตก โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจการเมือง ก็ต้องหาข้อดี - สิ่งดีมาใช้ โดยคำนึงถึงการสร้างดุลยภาพทั้ง 3 ส่วนดังกล่าว
ดุลยภาพทั้ง 3 ส่วนนี้จะเชื่อมโยงสนับสนุนกัน เคลื่อนไปด้วยกัน หล่อเลี้ยงกัน ไม่ให้ขาดพร่องด้านใดด้านหนึ่ง เช่นเดียวกับอวัยวะต่างๆในร่างกายทำงานตามหน้าที่ของมัน ที่ประสานเกื้อและกูลกันด้วย
โลกมาไกล...คือถูกทำลายล้างเกินกว่าจะ “คิดและทำ” กันแต่เรื่องเศรษฐกิจ(ผลประโยชน์) และการเมือง(อำนาจ) อย่างที่เคยทำเลียนแบบกันมาทั่วโลก ทั้งทุนนิยมและสังคมนิยม
เราจำเป็นต้องสร้างวิสัยทัศน์และองค์ความรู้ขึ้นมาใหม่ อะไรที่ดีมีประโยชน์แก่สังคม มีคุณค่าต่อจิตใจก็นำมันมาใช้ ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีใด ลัทธิอุดมการณ์ไหน ศาสนาอะไร รวมถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย
“ตัวชี้วัด” ว่าสามารถสร้างสังคมดุลยภาพได้สำเร็จหรือไม่ก็คือ ชีวิต สังคมและโลกธรรมชาติมีสันติสุขหรือไม่
ดังนั้นคำตอบว่าผมอยู่ฝ่ายไหนก็คือ “ผมอยู่ฝ่ายโลกและชีวิต”

‘บวรศักดิ์’แจง‘ขยายเกษียณอายุ’ขรก.พลเรือนแค่ 65 ปี ไม่ถึง 70 ปี ‘นายกฯ’หวังให้จบในรัฐบาลนี้
‘บวรศักดิ์’ยกคติ‘คำเตือนมีค่ากว่าคำชม’ หลัง‘นิพิฏฐ์’แซะ‘นายกฯ’สวมชุดกากีขึ้นเวทีหาเสียง
เปิดประตูสู่ความลึกลับ…ชวนขนหัวลุกทั้งฮอลล์!! 'สิงสาลาตาย'มิติใหม่ของซีรีส์บอยเลิฟสยองขวัญ
'กรมสมเด็จพระเทพฯ' ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ 'สมเด็จพระพันปีหลวง'
'นายกฯ' ถกครม.เศรษฐกิจ ปลื้มคนละครึ่งพลัส ลงพื้นที่ปชช.ตอบรับ มีความสุข กระตุ้นระบบศก.คึกคัก

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี