วันอาทิตย์ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ตั้งแต่ปีใหม่มานี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงอาการมั่นอกมั่นใจมากว่าตนจะอยู่ยาวครบ 4 ปีตามวาระ ความมั่นอกมั่นใจนี้แสดงออกถึงกิริยาท่าทางที่ “รื่นรมย์” หลายครั้ง แม้ในยามที่ควรจะเศร้าสลดใจต่อโศกนาฏกรรม (การกราดยิงของจ่าคลั่ง) ที่เกิดขึ้นที่นครราชสีมา
แต่ก็จะหงุดหงิดฉุนเฉียวอยู่บ้างตามอุปนิสัย ถ้ามีคำถามที่ไม่ถูกใจ
ผมไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะก็เห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลคณะนี้ต้องอยู่ยาวจนครบวาระ เพราะฝ่ายค้านไม่มีความสามารถ เก่งแต่หาเรื่องด่าเสียส่วนมาก และอาจจะได้เป็นรับรัฐบาลต่ออีกสมัยหนึ่ง ถ้าต้องการ เพราะทุกวันนี้ท่านก็หาเสียงไปทุกที่ที่ปรากฏตัวต่อสาธารณะ ด้วยการโฆษณาผลงานของตน
แต่ผลงานเหล่านั้นผมก็ยังมีความเห็นอย่างที่เคยเขียนตั้งแต่สมัยรัฐบาล คสช. คือ “เป็นการทำงานแบบราชการ” ส่วนงานที่จะเป็น “การปฏิรูปประเทศ” นั้น...จนวันนี้ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม - เป็นระบบ ทั้งเรื่องการปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปการศึกษา และมาถึงวันนี้ที่คนไทยเห็นว่าจำเป็นอย่างเร่งด่วน (ทั้งที่ด่วนมาหลายสิบปีแล้ว) ก็คือ “การปฏิรูปกองทัพ”
มีคนวิจารณ์กองทัพมาทุกยุคทุกสมัย (แบบเกร็งๆ) ทางตรงบ้าง ทางอ้อมบ้าง แต่ก็จะได้รับการตอบโต้กลับมาจากกองทัพทุกครั้ง...ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เคยโดนทหารบุกบ้านมาแล้ว นักวิชาการที่เป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่กล้าตอบโต้กับทหารเรื่องทุจจริต ด้วยประโยค “กลับไปเก็บกวาดบ้านของตัวเองก่อน” ก็สร้างความโกรธเกรี้ยวให้ทหารจนคนดูข่าวใจระทึก!
ไม่มีใครแตะต้องทหารได้ ทั้งนักการเมือง นักวิชาการ และประชาชนที่ใส่ใจเรื่องการเมือง โดยเฉพาะเรื่อง “งบลับ” เพราะพวกเขาอยากให้โปร่งใส แต่ข้ออ้างของฝ่ายทหารก็คือถ้านำมาบอกกล่าวต่อสาธารณชนก็ไม่ใช่งบลับอีกต่อไป และมันจะกระทบกระเทือนต่อ “ความมั่นคงของชาติ” จนวันนี้ก็งบลับก็ยังเรื่องลับต่อไป
แม้เรื่องเล็กๆก็แตะไม่ได้เช่นกัน ตั้งแต่เรื่องการใช้อำนาจอิทธิพลของนายทหารบางคน เรื่องการทำการค้าธุรกิจในกองทัพ เรื่องนายทหารโกงทหารชั้นผู้น้อย ไม่ว่าเรื่องอะไรของทหารไม่มีใครแตะต้องได้ ทุกอย่างยังคงเป็นไปอย่างเดิม
จนมีคนเปรียบเปรยว่ากองทัพมี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” อยู่ในประเทศไทย
พอล่วงมาถึงยุคที่การค้าธุรกิจเบ่งบานก็มีคนเปรียบว่าเป็นเหมือน “บริษัทครอบครัว”
ไม่ว่าใครจะเปรียบเปรยแบบไหน อย่างไร เงินและทรัพยากรของกองทัพทั้งหมดก็เป็นเงินภาษีของประชาชน เพียงแต่ประชาชนไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ (กองทัพเป็นของประชาชน) ไม่สามารถแม้แต่จะแสดงความเห็นที่เป็นเรื่อง “ลบ” ต่อทหารอย่างตรงไปตรงมาได้ แม้ว่าจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติก็ตาม (เพราะกลัว)
หลังจากเหตุการณ์กราดยิงที่นครราชสีมา เรื่องราวในกองทัพก็เผยให้เห็นหลายเรื่อง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เคยพูดถึงกันมาแล้วทั้งนั้น แต่ครั้งนี้มันมีหลักฐานปรากฎชัด ที่ต้องสังเวยชีวิตคนถึง 30 คน จึงไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ อย่างเก่งสุดก็แถ!
แม้แต่ผู้บัญชาการทหารบกก็ไม่สามารถปฏิเสธ แถมยังประกาศจะแก้ไขให้ถูกต้อง ทั้งเรื่องการทำการค้าธุรกิจในกองทัพ และน่าจะรวมเรื่องอมเบี้ยเลี้ยงด้วย รวมถึงเรื่องนายทหารที่เกษียณแล้วยังอาศัยอยู่ในบ้านพักของกองทัพ
ท่านขีดเส้นตายภายในเดือน ก.พ. ให้นายทหารที่เกษียณแล้วย้ายจากบ้านพักของกองทัพบก เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีบ้านมาอยู่แทน โดยยืนยันว่า “จะเอาจริงกับผู้ที่เอาเปรียบหลวง”
ผมกำลังดีใจ พลันก็กลับหดหู่ใจ เมื่อท่านบอกว่าจะ “ยกเว้นกรณีของนายทหารที่เกษียณราชการแล้ว แต่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ” เช่น นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี, คณะรัฐมนตรี, สมาชิกวุฒิสภา และองคมนตรี ให้สามารถอาศัยอยู่ได้ตามปกติ เพราะถือเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศ
ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ?!
ไม่เพียงหดหู่ใจ แต่คำถามก็ดังเข้ามาว่า ผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้ก่ประเทศมีแค่บุคคลดังกล่าวเท่านั้นหรือ?
ข้าราชคนอื่นๆ ทุกกระทรวง กรม จนถึงภารโรง ไม่ได้ทำคุณประโยชน์เลยหรือ?
ทำไมทั้งผู้บัญชาการทหารบกและนายกรัฐมนตรีจึงกล้าบอกแก่ประชาชนว่าใครบ้างที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศ...ท่านเป็นใครจึงบังอาจตัดสินว่าใครทำคุณประโยชน์ ใครไม่ทำ?
ผมเห็นว่าเราทุกคนทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่คดโกง ไม่เป็นอาชญากร ไม่ทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ดังนั้นผมจึงเห็นว่า...คนที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศที่แท้ก็คือ “คนที่ลงแรงผลิตปัจจัย 4” หรือของกินของใช้ให้ทุกคนในสังคม อย่างพวกเกษตรกรและพวกกรรมกร
ส่วนข้าราชการนั้นทำประโยชน์อยู่บนหลังของคนเหล่านี้อีกที!
แม้จะเสียภาษี แต่ก็เป็นเงินที่ได้มาจากภาษีของประชาชน
พวกท่านสามารถชี้นิ้วตัดสินว่าใครผิด ใครถูก ใครทำคุณประโยชน์แก่ประเทศหรือไม่ทำ ก็เพราะพวกท่านมีอำนาจและอาวุธ รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลประเทศ จนหลงเข้าใจว่าพวกตนมีอำนาจเหนือคนทุกคนในประเทศนี้ พวกท่านเป็นเจ้าของประเทศ และความคิดของท่านนั้นถูกต้อง!
แต่อย่างน้อยก็นับว่าเป็นข่าวดีที่ท่านผู้บัญชาการทหารบกริเริ่ม “แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด” และจะดีขึ้นอีกที่การแก้ไขนี้จะนำไปสูการแก้ไขปัญหาอื่นๆในกองทัพ
ผมก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นการแก้ไขตลอดหัวยันหาง ไม่ยกปมบางปม ไม่มีกั๊กหรือยกเว้นใครหรืออะไร ไม่เช่นนั้นก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี กลายเป็นเรื่องท่าดีทีเหลวและหลอกลวงประชาชน
และมันจะกลายเป็นเรื่อง “อภิสิทธิชน” ที่คนเพียงไม่กี่คนชี้นิ้วบงการได้ และมีสิทธิประโยชน์อยู่เหนือคนอื่นๆทั้งประเทศ
มันจะเป็นการสนับสนุนและตอกย้ำถ้อยคำที่โจมตีทหาร ว่า “เป็นเผด็จการ – เป็นอภิสิทธิชน” ให้คนเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น และไม่อาจเถียงหรือแถได้ เพราะหลักฐานจริงได้ปรากฏแก่สาธารณชนแล้ว
ผมอยากเห็นกองทัพเป็นของประชาชน โปร่งใส สามารถตรวจสอบและแสดงความคิดเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา

‘คุณน้ำผึ้ง’เที่ยวเจาะลึก Unseen สามพันโบก
‘หนุ่ม-แท่ง’ พาทัวร์ ‘วัดสารนารถธรรมาราม’ สักการะคุณแม่บุญเรือน อร่อยกับอาหารทะเล จ.ระยอง
‘ลุค อิชิคาว่า’ นำทีมนักแสดง ‘Rock and Soul จังหวะร็อก ปาฏิหาริย์รัก’ เปิดคาแรกเตอร์ในจอ สู่ตัวจริงนอกจอ
‘มิตรรัก ทั่วไทย’ พาเที่ยวเมืองโอ่งมังกร จ.ราชบุรี
'อ.เจษฎ์'มาเอง! เปิด7ข้อเคลียร์ความเชื่อผิดๆปมดื่มนมไทย เปิดวาร์ปนมไทยที่เป็นนมโคแท้

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี