ตั้งแต่ปีใหม่มานี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงอาการมั่นอกมั่นใจมากว่าตนจะอยู่ยาวครบ 4 ปีตามวาระ ความมั่นอกมั่นใจนี้แสดงออกถึงกิริยาท่าทางที่ “รื่นรมย์” หลายครั้ง แม้ในยามที่ควรจะเศร้าสลดใจต่อโศกนาฏกรรม (การกราดยิงของจ่าคลั่ง) ที่เกิดขึ้นที่นครราชสีมา
แต่ก็จะหงุดหงิดฉุนเฉียวอยู่บ้างตามอุปนิสัย ถ้ามีคำถามที่ไม่ถูกใจ
ผมไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะก็เห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลคณะนี้ต้องอยู่ยาวจนครบวาระ เพราะฝ่ายค้านไม่มีความสามารถ เก่งแต่หาเรื่องด่าเสียส่วนมาก และอาจจะได้เป็นรับรัฐบาลต่ออีกสมัยหนึ่ง ถ้าต้องการ เพราะทุกวันนี้ท่านก็หาเสียงไปทุกที่ที่ปรากฏตัวต่อสาธารณะ ด้วยการโฆษณาผลงานของตน
แต่ผลงานเหล่านั้นผมก็ยังมีความเห็นอย่างที่เคยเขียนตั้งแต่สมัยรัฐบาล คสช. คือ “เป็นการทำงานแบบราชการ” ส่วนงานที่จะเป็น “การปฏิรูปประเทศ” นั้น...จนวันนี้ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม - เป็นระบบ ทั้งเรื่องการปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปการศึกษา และมาถึงวันนี้ที่คนไทยเห็นว่าจำเป็นอย่างเร่งด่วน (ทั้งที่ด่วนมาหลายสิบปีแล้ว) ก็คือ “การปฏิรูปกองทัพ”
มีคนวิจารณ์กองทัพมาทุกยุคทุกสมัย (แบบเกร็งๆ) ทางตรงบ้าง ทางอ้อมบ้าง แต่ก็จะได้รับการตอบโต้กลับมาจากกองทัพทุกครั้ง...ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เคยโดนทหารบุกบ้านมาแล้ว นักวิชาการที่เป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่กล้าตอบโต้กับทหารเรื่องทุจจริต ด้วยประโยค “กลับไปเก็บกวาดบ้านของตัวเองก่อน” ก็สร้างความโกรธเกรี้ยวให้ทหารจนคนดูข่าวใจระทึก!
ไม่มีใครแตะต้องทหารได้ ทั้งนักการเมือง นักวิชาการ และประชาชนที่ใส่ใจเรื่องการเมือง โดยเฉพาะเรื่อง “งบลับ” เพราะพวกเขาอยากให้โปร่งใส แต่ข้ออ้างของฝ่ายทหารก็คือถ้านำมาบอกกล่าวต่อสาธารณชนก็ไม่ใช่งบลับอีกต่อไป และมันจะกระทบกระเทือนต่อ “ความมั่นคงของชาติ” จนวันนี้ก็งบลับก็ยังเรื่องลับต่อไป
แม้เรื่องเล็กๆก็แตะไม่ได้เช่นกัน ตั้งแต่เรื่องการใช้อำนาจอิทธิพลของนายทหารบางคน เรื่องการทำการค้าธุรกิจในกองทัพ เรื่องนายทหารโกงทหารชั้นผู้น้อย ไม่ว่าเรื่องอะไรของทหารไม่มีใครแตะต้องได้ ทุกอย่างยังคงเป็นไปอย่างเดิม
จนมีคนเปรียบเปรยว่ากองทัพมี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” อยู่ในประเทศไทย
พอล่วงมาถึงยุคที่การค้าธุรกิจเบ่งบานก็มีคนเปรียบว่าเป็นเหมือน “บริษัทครอบครัว”
ไม่ว่าใครจะเปรียบเปรยแบบไหน อย่างไร เงินและทรัพยากรของกองทัพทั้งหมดก็เป็นเงินภาษีของประชาชน เพียงแต่ประชาชนไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ (กองทัพเป็นของประชาชน) ไม่สามารถแม้แต่จะแสดงความเห็นที่เป็นเรื่อง “ลบ” ต่อทหารอย่างตรงไปตรงมาได้ แม้ว่าจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติก็ตาม (เพราะกลัว)
หลังจากเหตุการณ์กราดยิงที่นครราชสีมา เรื่องราวในกองทัพก็เผยให้เห็นหลายเรื่อง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เคยพูดถึงกันมาแล้วทั้งนั้น แต่ครั้งนี้มันมีหลักฐานปรากฎชัด ที่ต้องสังเวยชีวิตคนถึง 30 คน จึงไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ อย่างเก่งสุดก็แถ!
แม้แต่ผู้บัญชาการทหารบกก็ไม่สามารถปฏิเสธ แถมยังประกาศจะแก้ไขให้ถูกต้อง ทั้งเรื่องการทำการค้าธุรกิจในกองทัพ และน่าจะรวมเรื่องอมเบี้ยเลี้ยงด้วย รวมถึงเรื่องนายทหารที่เกษียณแล้วยังอาศัยอยู่ในบ้านพักของกองทัพ
ท่านขีดเส้นตายภายในเดือน ก.พ. ให้นายทหารที่เกษียณแล้วย้ายจากบ้านพักของกองทัพบก เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ไม่มีบ้านมาอยู่แทน โดยยืนยันว่า “จะเอาจริงกับผู้ที่เอาเปรียบหลวง”
ผมกำลังดีใจ พลันก็กลับหดหู่ใจ เมื่อท่านบอกว่าจะ “ยกเว้นกรณีของนายทหารที่เกษียณราชการแล้ว แต่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ” เช่น นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี, คณะรัฐมนตรี, สมาชิกวุฒิสภา และองคมนตรี ให้สามารถอาศัยอยู่ได้ตามปกติ เพราะถือเป็นผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศ
ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ?!
ไม่เพียงหดหู่ใจ แต่คำถามก็ดังเข้ามาว่า ผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้ก่ประเทศมีแค่บุคคลดังกล่าวเท่านั้นหรือ?
ข้าราชคนอื่นๆ ทุกกระทรวง กรม จนถึงภารโรง ไม่ได้ทำคุณประโยชน์เลยหรือ?
ทำไมทั้งผู้บัญชาการทหารบกและนายกรัฐมนตรีจึงกล้าบอกแก่ประชาชนว่าใครบ้างที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศ...ท่านเป็นใครจึงบังอาจตัดสินว่าใครทำคุณประโยชน์ ใครไม่ทำ?
ผมเห็นว่าเราทุกคนทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไม่คดโกง ไม่เป็นอาชญากร ไม่ทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ดังนั้นผมจึงเห็นว่า...คนที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศที่แท้ก็คือ “คนที่ลงแรงผลิตปัจจัย 4” หรือของกินของใช้ให้ทุกคนในสังคม อย่างพวกเกษตรกรและพวกกรรมกร
ส่วนข้าราชการนั้นทำประโยชน์อยู่บนหลังของคนเหล่านี้อีกที!
แม้จะเสียภาษี แต่ก็เป็นเงินที่ได้มาจากภาษีของประชาชน
พวกท่านสามารถชี้นิ้วตัดสินว่าใครผิด ใครถูก ใครทำคุณประโยชน์แก่ประเทศหรือไม่ทำ ก็เพราะพวกท่านมีอำนาจและอาวุธ รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลประเทศ จนหลงเข้าใจว่าพวกตนมีอำนาจเหนือคนทุกคนในประเทศนี้ พวกท่านเป็นเจ้าของประเทศ และความคิดของท่านนั้นถูกต้อง!
แต่อย่างน้อยก็นับว่าเป็นข่าวดีที่ท่านผู้บัญชาการทหารบกริเริ่ม “แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด” และจะดีขึ้นอีกที่การแก้ไขนี้จะนำไปสูการแก้ไขปัญหาอื่นๆในกองทัพ
ผมก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นการแก้ไขตลอดหัวยันหาง ไม่ยกปมบางปม ไม่มีกั๊กหรือยกเว้นใครหรืออะไร ไม่เช่นนั้นก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี กลายเป็นเรื่องท่าดีทีเหลวและหลอกลวงประชาชน
และมันจะกลายเป็นเรื่อง “อภิสิทธิชน” ที่คนเพียงไม่กี่คนชี้นิ้วบงการได้ และมีสิทธิประโยชน์อยู่เหนือคนอื่นๆทั้งประเทศ
มันจะเป็นการสนับสนุนและตอกย้ำถ้อยคำที่โจมตีทหาร ว่า “เป็นเผด็จการ – เป็นอภิสิทธิชน” ให้คนเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น และไม่อาจเถียงหรือแถได้ เพราะหลักฐานจริงได้ปรากฏแก่สาธารณชนแล้ว
ผมอยากเห็นกองทัพเป็นของประชาชน โปร่งใส สามารถตรวจสอบและแสดงความคิดเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี