ชีวิตวัยเยาว์ของผมขลุกอยู่กับร้านกาแฟ เป็นร้านริมคลองในสวนฝั่งธน มีสะพานไม้ทอดข้ามเชื่อมคนสองฝั่งคลองให้สามารถไปมาหาสู่กัน
เป็นร้านของคุณยายเพื่อนบ้านที่เมตตาให้ผมมาช่วยทุบน้ำแข็ง ขายบุหรี่ สุรา น้ำปลา ยาสีฟัน ฯลฯ แลกกับค่าขนมวันละ 50 สตางค์ ที่คุณยายให้ไปโรงเรียนตอนเช้า
เป็นร้านกาแฟร้านเดียวที่ชาวสวนย่านนั้นใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นคนมีสตางค์ที่แวะมานั่งจิบเบียร์ตราสิงห์หลังเลิกงานยามเย็นก่อนกลับเข้าบ้าน แม่บ้านที่มาซื้อโอเลี้ยงและสั่งให้ผมทุบน้ำแข็งให้ละเอียดๆ คนสูงวัยที่มาซื้อยาหอมอำพันทองและยาแก้ไข้แก้ปวดยี่ห้อทันใจ กับ ประสระนอแรด หรือคนขี้เหล้าที่มาสั่งเหล้าโรงหรือเหล้าขาว หรือไม่ก็เหล้าเซี่ยงชุนไปกึ๊บสักก๊งสองก๊งหลังการใช้แรงงานอันยาวนานในแต่ละวัน
บางครั้ง ร้านนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาแบบลูกผู้ชายของชายชาตินักเลงสมัยนั้น เมื่อมาเจอหน้ากันที่ร้านกาแฟแล้วศรศิลป์ไม่กินกัน หรือบังเอิญไปเหร่สาวชาวสวนคนเดียวกัน พวกเขาจะพูดจาท้าทายกันเพียงไม่กี่คำแล้วพากันเดินออกจากร้านไปยังลานดินใต้ต้นมะขามใหญ่ที่อยู่ถัดเลยร้านออกไป จากนั้นกำปั้นรุ่นๆ ก็สาดเข้าใส่กันแบบตัวต่อตัว ไม่มีเครื่องทุ่นแรง ไม่มีหมาหมู่ พอต่อสู้แบบลูกผู้ชายได้สักพัก ปากแตกตาบวมกันไปพอหอมปากหอมคอ พรรคพวกเพื่อนฝูงของแต่ละฝ่ายก็จะพานักสู้ฝ่ายตนแยกย้ายกันไป เป็นการต่อสู้ที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีของผู้กล้าอย่างแท้จริง
ที่ดินแถวสวนที่ผมอยู่นั้น เป็นของเจ้าที่ดินเก่าแก่ซึ่งมีลูกหลานว่านเครืออาศัยอยู่ใกล้ ๆ กัน บรรดาลูกหลานเหล่านั้นมีทั้งที่เป็นวัยกลางคนมีครอบครัวแล้วอายุ 30-40 และที่เพิ่งโตเป็นหนุ่มอายุ 18-20 กว่า ๆ พวกเขาคือเจ้าถิ่น คนที่เข้ามาเช่าบ้านหรือปลูกบ้านพักอาศัยอยู่แถวนั้นรู้กันดี บางคนขนานนามพวกเขาว่า “นักเลง” แต่เจ้าถิ่นหรือนักเลงเหล่านี้ไม่เคยทำตนเป็นอันธพาลไปข่มเหงรังแกใคร แม้หลายคนตามตัวจะมีรอยสักเต็มไปหมดก็ตาม
ค่าที่ผมเป็นเด็กทุบน้ำแข็งในร้านกาแฟร้านเดียวของที่นั่น ผมจึงรู้จักมักคุ้น “นักเลง” กลุ่มนี้เป็นพิเศษ เพราะพวกเขาชอบมาร้านนี้บ่อย ๆ และเอ็นดูผมซึ่งขณะนั้นเป็นเด็กอายุแค่สิบกว่าขวบ แต่ทุบน้ำแข็งได้ละเอียดถึงใจคอโอเลี้ยงเป็นยิ่งนัก เพราะการดื่มโอเลี้ยง ถ้าทุบน้ำแข็งไม่ละเอียด รสชาติของโอเลี้ยงที่เจ้าของร้านอุตส่าห์ชงแบบแก่ ๆ หวาน ๆ จะเสียไปทันที
ความสนิทสนมและความเอ็นดูที่นักเลงกลุ่มนี้มีต่อผม ถึงขั้นที่ครั้งหนึ่งเคยขอให้ผมแอบสะกดรอยตามหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งมักแต่งตัวสวย ๆ ถือร่มกันแดดเดินออกจากบ้านตอนบ่าย ด้วยพวกเขานักเลงของที่นี่ ต้องการรู้ว่าเธอผู้นั้นไปที่ไหน และผมก็หัวอ่อนทำตามคำขอของพวกเขา กลับมารายงานผลการสะกดรอยวันนั้นให้นักเลงเจ้าถิ่นทราบอย่างเป็นความลับ รู้กันระหว่างนักเลงเจ้าถิ่นกับผม และผมก็รักษาสัญญาไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้ถึงสถานที่ที่หญิงสาวคนนั้นเดินทางไปจนเท่าทุกวันนี้
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างผมกับนักเลงกลุ่มนี้ เกือบจะขาดสะบั้นลงวันหนึ่ง เมื่อพ่อของผมเกิดไปมีเรื่องกับพวกเขา
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะพ่อกลับจากที่ทำงาน และเดินไปตามทางซีเมนต์แคบ ๆ ที่ลาดผ่านริมคลองร่องสวนของนักเลง ขณะนั้นมีกลุ่มนักเลงที่เป็นเจ้าถิ่น 2-3 คน เดินปอกกล้วยกินอยู่ข้างหน้า หนึ่งในนั้นเดินปอกกล้วยกินพลาง เตะเปลือกกล้วยที่ปอกไปพลาง และมีครั้งหนึ่งได้เตะข้ามศีรษะตนเองกลับมาด้านหลัง และยังข้ามศีรษะพ่อผมที่เดินอยู่ข้างหลังอีกโดยไม่รู้ตัว พ่อผมแม้ไม่ใช่นักเลง ไม่ใช่เจ้าถิ่น แต่ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายสมัยนั้นจะยอมไม่ได้ เพราะศีรษะเป็นเรื่องที่ชายไทยถือมาก เดินลอดราวตากผ้ายังไม่ได้ นี่เตะเปลือกกล้วยข้ามศีรษะจะยอมได้หรือ ?
“เตะเปลือกกล้วยข้ามหัวผมทำไม ?” พ่อผมปรี่เข้าไปถามนักเลงกลุ่มนั้นโดยไม่ลังเล
ถ้าเป็นวันนี้ ท่านคงเดาออกว่าชะตากรรมพ่อผมจะเป็นอย่างไร !
แต่โชคดีที่เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว
“ขอโทษครับลุง” นักเลงยกมือไหว้
พวกเขารู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิด เขายอมรับผิดต่อสิ่งที่เขากระทำ ด้วยการกล่าวขอโทษอย่างชายชาตินักเลง ไม่มีการตะแบง ไม่มีการแก้ตัว
เรื่องกลุ้มรุมทำร้ายคนอื่น เพราะตนพวกมากกว่า ไม่มีวันเกิดขึ้น คนสมัยนั้นเขาไม่ทำกัน นักเลงสมัยนั้นเขามีศักดิ์ศรี
หลังเกิดเรื่องวันนั้น พ่อผมและครอบครัวของผมยังคงอยู่รอดปลอดภัย ไม่มีใครตามมาหาเรื่อง ไม่มีใครคอยมากลั่นแกล้ง และสัมพันธภาพระหว่างผมกับพวกนักเลงก็ยังเหมือนเดิม ยังเป็นเด็กน้อยที่พวกเขาเอ็นดู เพราะไอ้หนูคนนี้มันทุบน้ำแข็งใส่โอเลี้ยงได้ละเอียดถึงใจจริง ๆ
ผมนำเรื่องเก่า ๆ เรื่องนี้มาเล่าใหม่ หลังจากติดตามข่าววัยรุ่นเจ้าถิ่นยกพวก 6 - 7 คนไปรุมข่มขู่ท้าทาย ตะโกนเรียกคู่ปรับให้ออกมาจากบ้านและขว้างปาสิ่งของเข้าไปด้วยเหตุเพียงเพราะขี่มอเตอร์ไซค์เฉี่ยวชนกัน สุดท้ายถูกหนุ่มที่อยู่ในบ้านซึ่งมีผู้หญิงอีก 2 คน คือ แฟนสาวกับมารดา ตัดสินใจถือมีดวิ่งออกไปสู้ วัยรุ่นที่มารุมตาย 2 บาดเจ็บ 1 มารดาของวัยรุ่นที่ยกพวกมารุมแล้วเสียชีวิตออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ลูกตนเป็นคนดี ถ้าหนุ่มคนที่ถูกลูกตนยกพวกไปข่มขู่ท้าทายหน้าบ้านไม่ออกมา ก็จะไม่มีเรื่อง !
ฟังแล้วรู้สึกอย่างไรครับพี่น้อง ?
สังคมไทยทุกวันนี้ มันเสื่อมไปหมด เสื่อมทั้งหัวหงอกหัวดำ
ข่าววัยรุ่นยกพวก 5 คนถึง 50 คน รุมกระทืบทำร้ายคู่อริเพียงคนเดียวเข้า ไอ.ซี.ยู. บ้าง ถึงตายบ้าง มีให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน ไม่เคยมีนักสู้ผู้กล้าที่ท้าดวลกันตัวต่อตัวเหมือนในอดีต
สังคมไทยทุกวันนี้ มันคือสังคมหมาหมู่ สังคมของคนขี้ขลาดตาขาวที่ถนัดแต่การลอบกัดและยกพวกไปรุมทำร้ายฝ่ายตรงข้าม
สังคมหมาหมู่ ที่หมู่ใครหมู่มัน ถูกผิดไม่สนใจ เลวอย่างไรก็ต้องเข้าข้างมัน ปกป้องมัน เพราะมันพวกเราหรือไม่ก็มันมีผลประโยชน์ร่วมกันกับเรา
มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่นักการเมือง ยันลงมาจนถึงวัยรุ่นนักเรียนนักศึกษา ตั้งแต่คนหัวหงอก ยันลงมาถึงคนหัวดำ
อย่าไปฝันถึงสังคมไทยใหม่อะไรเลย เอาเรื่องดี ๆ ในอดีตของสังคมไทยที่เสื่อมถอยไปกลับคืนมาให้ได้ก่อนจะดีกว่า
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
20 ตุลาคม 2564
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี