เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย กรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องขอให้วินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ มีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวัน ในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีหมายเลขแดงที่ 2218/2538 กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณา ระหว่างนั้นมีคำร้องให้นายสิระหยุดปฏิบัติหน้าที่ ศาลพิจารณาแล้ว ยกคำร้อง
นายสิระนั้น ไม่เพียงแต่เป็น ส.ส. หากแต่เป็นประธานกรรมาธิการคือ ประธานกรรมาธิการกฎหมายการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน อีกด้วย โอ เบ้อเริ่มเลย !
หลังจากรับคำร้องศาลก็รับคำชี้แจง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดส่งเอกสารชี้แจง ในที่สุดศาลก็วินิจฉัยให้สมาชิกภาพของนายสิระ สิ้นสุดลง
สิ้นสุดลงวันไหน?
สิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2562 เพราะศาลเห็นว่า นายสิระ ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากนานสิระถูกศาลแขวงปทุมวันพิพากษาจำคุก 4 เดือน ผู้เสียหายไม่เคยยอมความหรือถอนคำร้องทุกข์คดี อันเป็นเหตุให้ศาลแขวงปทุมวันได้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบ(หลังจากพ้นเวลาอุทธรณ์) อันทำให้คดีถึงที่สุด
เมื่อสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. ของนายสิระ สิ้นสุดลง ก็จะต้องมีการเลือกตั้งซ่อมภายใน 45 วัน
คดีนี้เป็นคดีง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ชัดเจน ว่า คนที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีทุจริตสมัครรับเลือกตั้งไม่ได้
เมื่อมีผู้ร้องว่า นาย ก นายข ขาดคุณสมบัติในการเป็น ส.ส หรือไม่ ผู้มีหน้าที่พิจารณา ไม่ว่าจะเป็น กกต. ซึ่งจะต้องพิจารณาแต่แรกว่ามีสิทธิสมัครับเลือกตั้งหรือไม่ก็ต้องพิจารณาคุณสมบัติ
เอาละ ใครจะเคยติดคุก หรือใครจะเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีทุจริต กกต. ไม่มีทางรผู้หรอก นอกจากมีใครสักคนฟ้อง หรือร้องขึ้นมา
ผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วยกันก็อาจจะรู้บ้างไม่รู้บ้าง จนรอดมาเป็น ส.ส.
เมื่อมาเป็น ส.ส. แล้วศาลที่จะรับคำร้องก็คือศาลรัฐธรรมนูญ
และดังได้กล่าวแล้วว่าคดีอย่างนี้ไม่ยาก ไม่สลับซับซ้อน พยานหลักฐาน หาไม่ยาก และศาลไม่ควรที่จะทอดระยะเวลาในการพิจารณาให้เนิ่นนาน คนที่ขาดคุณสมบัติจะได้ไม่ต้องอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เป็นของเขานาน ดังกรณีนี้ก็จะเห็นว่า ไม่เป็นเพียง ส.ส.ธรรมดาๆ ซึ่งมีผผู้ช่วยมีเลขา มากินเงินเดือนอีก
ไม่ได้ห่วงที่ กกต. จะต้องเรียกคืนเงินเดือน ส.ส. และค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง 20/30 ล้านบาทจากนายสิระหรอกครับ เพราะจากวันที่ต้องคำพิพากษานอกจากโทษจำคุกแล้วยังต้องจ่ายให้ผู้เสียหายเป็นแสน ยังต้องผ่อน 2 งวด มาวันนี้สามารถสร้างเนื้อสร้างฐานะ มั่งคั่ง มั่นคงมีเงินเป็นร้อยๆล้านบาท มีที่ดินเป็นสิบเป็นร้อยไร่
ที่จะต้องคืนเงินหลวงนั้นไม่ครณาเลย !
เมื่อมีคดีตัวอย่างให้เห็นเช่นนี้แล้วก็ชักเป็นห่วงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าจะอยู่ยั้งยืนยงขนาดไหน จะถึงกับต้องฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง หรือจะเพียงแต่แก้ไข หรือลบข้อห้ามนี้ออกไป คนที่ผ่านการติดคุกในคดีทุจริต ในคดียาเสพย์ติด จะได้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ เพราะการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นอกจากช่วยยกระดับ ยกวิทยะฐานะให้แก่ตัวเองและวงศ์ตระกูล เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า (สำหรับบางคน) แล้ว ยังเป็นทางหนึ่งที่ทำให้ได้อำนาจรัฐอีกด้วย
ซ้ำยังอวดโอ่ได้อีกด้วยว่า กูเป็นประชาธิปไตย !
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี