กรณีไอ้หน่อง ท่าผา มือปืนของกำนันนก เหนี่ยวไกสังหารโหดนายตำรวจน้ำดี พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือ “สารวัตรแบงค์” สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. อย่างอุกอาจกลางปาร์ตี้วันเกิดกำนันนกที่บ้านพักนครปฐม เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาร่วมงานกว่ายี่สิบนาย ตั้งแต่ระดับผู้กำกับ (พ.ต.อ.) ลงไปจนถึงระดับ ผบ.หมู่ (ส.ต.ต.) ไม่เพียงสร้างความตกตะลึงพรึงเพริดแก่ประชาชนที่ได้รับข่าวสารเท่านั้น
หากยังสร้างความพิศวงและหดหู่ใจตามมา เมื่อมีการเผยแพร่รายละเอียดของเหตุการณ์และคลิปภาพ ที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งช่วยกันคุ้มกันไอ้หน่องมือปืนและตัวกำนันนก ออกจากที่เกิดเหตุ พร้อมกับจัดรถนำขบวนและรถคุ้มกันพาคนร้ายทั้งสองหลบหนี และปล่อยให้มีการทำลายหลักฐานทั้งปืนที่ก่อเหตุและกล้องวงจรปิดภายในที่เกิดเหตุ
ทั้งที่ผู้ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาของตน คือนายตำรวจทางหลวงน้ำดี คือลูกน้องของตน คือเพื่อนของตน และคือผู้บังคับบัญชาของตน ที่ตลอดเวลาปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติ ตรงไปตรงมา ไม่รับส่วย ไม่รับอามิส !
หลังเกิดเหตุหนึ่งวัน กำนันนกเข้ามอบตัว จากนั้นอีกวัน ไอ้หน่องถูกวิสามัญในซอยโรงเจร้าง หลังวัดพระแท่นดงรัง อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี
วันที่ 11 กันยายน พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสงค์ ผู้กำกับ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง หรือ “ผู้กำกับเบิ้ม” หนึ่งในตำรวจที่ไปร่วมงาน ยิงตัวตายในบ้านพักย่านคูคต จ.ปทุมธานี ตามข่าวกล่าวว่าเป็นเพราะเครียด และเสียใจที่มีส่วนชวนน้องไปร่วมงานจนถูกยิงเสียชีวิต
ในวันเดียวกันนั้น นักข่าวอมรินทร์ทีวีได้โทรศัพท์สัมภาษณ์ พ.ต.อ.กฤษฎาพร จงอักษร ผกก.สน.พญาไท ที่ไปร่วมงานวันเกิดกำนันนก เกี่ยวกับภาพในวงจรปิดของโรงพยาบาลที่ขัดแย้งกับคำให้สัมภาษณ์ แต่ถูกตัดบทว่า
“ไม่ต้องโทรแล้วน้อง ตายไปอีกคนแล้ว จะโทรอะไรอีกอะ จะให้ตายเพิ่มอีกหรอ พอหรือยังลูกพี่ จะให้ตายเพิ่มอีกกี่คน ถ้าเจอพี่ที่ภาค 7 ก็ไม่ต้องสัมภาษณ์นะ เดี๋ยวปืนมันจะลั่นใส่พวกเอ็งอะนะ”
คำพูดเชิงข่มขู่ผู้สื่อข่าวซึ่งทำหน้าที่ตามวิชาชีพของตน ทำให้ภาพของนายตำรวจที่ออกนอกพื้นที่ไปร่วมงานวันนั้นดูตกต่ำลงไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น จากการสืบสวนสอบสวนของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พบว่า คดีนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องกำนันนกเสียหน้าที่ขอตำแหน่งให้หลานแล้วไม่ได้ แต่เป็นเรื่องพัวพันไปถึงส่วยทางหลวง การฮั้วประมูล และการพนันออนไลน์ ที่พบเส้นทางการเงินจากกำนันนกและไอ้หน่องไปสู่ตำรวจจำนวนหนึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังเปิดเผยด้วยว่า ในงานวันนั้น มีตำรวจเข้าร่วม 28 นาย และ "ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ยังคงให้การไม่เป็นความจริง” !
นี่แค่เหตุการณ์หนึ่งที่บังเอิญเปิดเผยออกสู่สาธารณะจากความเหิมเกริมของอิทธิพลท้องถิ่นระดับกำนัน ที่ใช้เงินฟาดหัวนายตำรวจทั้งใหญ่และเล็กให้มารับใช้คุ้มครองมัน
มันไม่ได้มีแค่ที่นครปฐม แต่มีทุกจังหวัด ทุกท้องที่
และมันก็ไม่ได้มีแค่ตำรวจ ที่คอยรับใช้และหากินกับพวกผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น มันยังมีนักการเมืองระดับชาติที่สมคบร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ต่างอุปถัมภ์ค้ำจุนอำนาจและผลประโยชน์ของกันและกัน เมืองไทยจึงเป็นอย่างที่เราเห็น
บ้านเมืองที่ตกอยู่ในกำมือของนักการเมืองเลวและตำรวจเลว ประชาชนก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมต.มหาดไทย มอบหมายให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ “เจ้าพ่อแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง” ไปลุยขึ้นบัญชีและจัดการเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลให้หมด ท่ามกลางเสียงเย้ยหยันเสียดสีจากสังคมว่าอย่าลืมใส่ชื่อตัวเองลงในบัญชีด้วย
การเมืองก็ว่ากันไป อย่าจริงจังคาดหวังอะไรมาก เพราะมันก็ “เหมือนพ่อค้าขายยามาปาหี่ สักสี่ซ้าสามปีก็หนีหาย”
เมื่อ 9 ปีที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐประหารยึดอำนาจรัฐมาอยู่ในมือตนได้ ประกาศจะล้างอิทธิพลท้องถิ่น ก็ทำได้แค่ประกาศรายชื่อผู้มีอิทธิพลออกมา 2 รอบ แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป จนกำนันนกเติบโตจากเด็กหนุ่มวัยเบญจเพศมาเป็นเจ้าพ่อก่อคดีในวันนี้
เมื่อ 9 ปีที่แล้วอีกเช่นกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศจะปฏิรูปตำรวจ แล้ววันนี้ตำรวจปฏิรูปอะไร นอกจากขยันตั้งกล้องจับความเร็วรถ ออกกฎหมายมาเพิ่มค่าปรับจราจร เพื่อให้ส่วนแบ่งจากค่าปรับเพิ่มมากขึ้น ราวกับว่าภารกิจนี้คือความเป็นความตายของประเทศชาติ
เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมเคยเขียนบทความไว้ในคอลัมน์นี้ว่า “จะปฏิรูปตำรวจ ต้องให้ตำรวจปฏิรูป” เพราะผมไม่เคยเชื่อน้ำยาว่านักการเมืองจะสามารถปฏิรูปองค์กรตำรวจได้
อดีตนายพลตำรวจน้ำดีนอกราชการท่านหนึ่ง บอกกับผมว่า “หัวใจของงานตำรวจคือโรงพัก”
ถ้าหัวหน้าโรงพัก ซึ่งก็คือ ผู้กำกับการสถานีตำรวจแต่ละท้องที่เป็นคนดี ประชาชนในท้องที่นั้นก็จะอยู่อย่างอุ่นใจและปลอดภัย เพราะผู้กำกับการแต่ละโรงพักคือจุดศูนย์กลางและหัวหน้าผู้ปฏิบัติงานตัวจริง ที่ด้านหนึ่งรับนโยบายจากข้างบนลงมาปฏิบัติ อีกด้านหนึ่งควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ลงไปถึงประชาชนรากหญ้าอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันก็รับข้อมูลความเป็นจริงในท้องที่จากผู้ใต้บังคับบัญชามาบริหารจัดการและสะท้อนสู่เบื้องบน
ด้วยเหตุนี้ การแต่งตั้งนายตำรวจน้ำดีมาดูแลโรงพัก จึงเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปงานตำรวจที่สามารถเห็นผลและจับต้องได้
เพราะถ้าผู้กำกับการสถานีตำรวจแต่ละท้องที่เป็นคนดี โจรหรือผู้มีอิทธิพลในท้องที่นั้นก็อยู่ไม่ได้ ตรงข้าม ถ้าผู้กำกับการสถานีตำรวจเป็นคนชั่ว มันก็ไปเข้ากับโจรหรือผู้มีอิทธิพลมาก่อเรื่องชั่ว ๆ ให้ผู้คนเดือดร้อน
เหตุนี้ ผมจึงเชื่อว่า การปฏิรูปตำรวจต้องให้ตำรวจด้วยกันปฏิรูป แต่ตำรวจที่ว่านี้ ต้องเป็นตำรวจดี มีแต่ตำรวจดีเท่านั้นที่จะช่วยกู้ภาพพจน์ของตำรวจขึ้นมาได้
และผมก็ยังเชื่ออีกว่า ตำรวจรุ่นใหม่ ตำรวจดี ๆ ยังมีอยู่ ถ้าพวกเขายืนหยัดรวมตัวกัน คิดถึงเกียรติยศศักดิ์ศรี คิดถึงแผ่นดินและประชาชน พวกเขาจะสามารถช่วยกันกอบกู้สถาบันตำรวจให้เป็นที่พึ่งและเป็นที่รักของประชาชนได้
จากนี้ พวกเขาซึ่งเป็นตำรวจน้ำดี ก็จะสามารถรวมพลังความดีอันแข็งแกร่งของพวกเขา ต่อสู้กับอิทธิพลชั่วของนักการเมืองชั่วบางคนที่ใช้อำนาจอิทธิพลมาแทรกแซงโยกย้ายการแต่งตั้งและการทำงานของตำรวจ โดยมีประชาชนในพื้นที่เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้กับตำรวจดี ๆ ที่ดูแลบ้านเรือนของพวกเขา
ตำรวจน้ำดี ต้องมีที่ยืน
อย่าให้ต้องมาประสบชะตากรรมอย่าง “สารวัตรแบงค์” หรือ “ผู้กำกับเบิ้ม” อีกต่อไป
โอ้ สนสยิวยืนต้นโอนอ่อน
โยกคลอนพลางถอนใจใหญ่
โอ้ สนครางเหมือนกับคนเป็นไข้
สนเอยอาวรณ์ไหวคล้ายเรา
ท่ามกลางถิ่นในไพรสณฑ์
เสียงสนหมือนดั่งมนต์เรียกเรา
หวีดวอนอ่อนโอนโยนเย้า
ครวญเคล้าเร้าเรียกเราร่ำไร
ขวัญเอยขวัญมา
สนสามพรานพร่ามหาขวัญใจ
เพื่อนเอยเพื่อนใจไปไหน
ลาไกลแล้วเพื่อนไยไม่มา
(สนสามพราน : คำร้อง ศรีสวัสดิ์ พิจิตรวรการ ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน)
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
๑๓ กันยายน ๒๕๖๖
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี