นับตั้งแต่รัฐบาลโดยนายเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วเข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา รวมเวลาสองเดือนกับ 25 วันยังไม่เห็นผลงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันสักเรื่องเดียวเห็นแต่นายเศรษฐา เด้งเชือกไปเด้งเชือกมา วิ่งวนเต้นฟุตเวิร์กเหมือนที่เจ้าตัวไปออกลีลาชู้ตบาสเกตบอลและโชว์ฝีเท้าเล่นฟุตบอลที่จังหวัดหนองบัวลำภูอย่างไรก็อย่างนั้น
รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่า การที่นายเศรษฐา ทวีสิน เดินทางเป็นว่าเล่น ขึ้นเหนือล่องใต้ ไปต่างประเทศ อยู่ไม่เป็นสุขเหมือนเสือติดจั่น จะเอาเวลาที่ไหนมานั่งพินิจพิจารณาเรื่องราวและโครงการต่างๆ ที่เสนอเข้ามาจากแต่ละกระทรวงทบวงกรมเพื่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามอนุมัติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ หรือต้องให้นำกลับไปทบทวนใหม่
สัปดาห์ก่อนไปงานลอยกระทงชมการแสดงแสงสีเสียงที่จังหวัดสุโขทัย จากนั้นขึ้นเชียงใหม่ไปงานยี่เป็ง แล้วก็โฉบลงมาจังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนจะวกมาจังหวัดพิษณุโลกไปเยี่ยมชมโรงหล่อพระบูรณะไทย แล้วก็ขึ้นเครื่องบินจากสนามบินจังหวัดพิษณุโลกไปลงที่สนามบินนานาชาติจังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นประธานเปิดศูนย์บริการด้านการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
จากภูเก็ตก็ไปจังหวัดอุดรธานีลงพื้นที่ตรวจราชการ แล้วก็ไปประชุม ครม.สัญจรต่อที่จังหวัดหนองบัวลำภู เหมือน “ทัวร์นกขมิ้น” สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในยุค “ทักษิณ ชินวัตร” ด้วยการประชุม ครม.สัญจรควบคู่กับการจัดกิจกรรมลงไปค้างคืนในหมู่บ้าน ซึ่งรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็จำลองแบบมาเช่นเดียวกัน
สำหรับคิวเดินสายเมื่อวานของ“เศรษฐา ทวีสิน”ได้เข้าร่วมประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นอนพักค้างหนึ่งคืน และช่วงบ่ายวันนี้ (7 ธันวาคม) กลับเข้ากรุงเทพฯ มาเป็นประธานพิธีเปิดงานเฉลิมฉลอง“สงกรานต์ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ” ซึ่งจัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
และจบจากงานนี้ก็จะไปจังหวัดกาญจนบุรีไปชม“แสง สี เสียง”งานสัปดาห์ข้ามแม่น้ำแคว และงานกาชาดจังหวัดกาญจนบุรี ประจำปี 2566 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-17 ธันวาคม พร้อมทั้งเยี่ยมชมเส้นทางมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่เป็นผลงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เห็นตารางเดินสายของ“เศรษฐา ทวีสิน”แล้วจึงได้แปลกใจว่า จะเอาเวลาที่ไหนมานั่งเซ็นเอกสารและพิจารณางานที่เสนอขึ้นมาจากกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ถ้าจะบอกว่าขนใส่รถยนต์หรือขนขึ้นเครื่องบินไปนั่งเซ็นและพิจารณาตัดสินใจระหว่างเดินทาง คิดว่าคงไม่มีใครเชื่อ จึงทำให้สงสัยว่านายเศรษฐาอาจจะทำลายเซ็นตรายางทิ้งไว้ให้“นายกฯน้อย” ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีเงาตัวจริง คือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ที่เวลานี้นั่งตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
หากเป็นเช่นนั้นก็ทำให้ต่อภาพได้ชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศนี้ก็คือ “นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร” แต่เวลานี้ยังเปิดตัวไม่ได้เพราะอยู่ระหว่างหลบซ่อนโดยออกข่าวว่านอนพักฟื้นอยู่ห้องวีไอพี บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อรอเวลายื่นของพักโทษโดยไม่เคยติดคุกหลังครบ 120 วัน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ 107 นับตั้งแต่กลับมาประเทศไทยในวันที่ 22 สิงหาคม 2566
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช คือสายตรงจาก“เทวดาชั้น 14”และ“นายหญิงแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า” เป็นลูกหม้อของเครือชินคอร์ป นอกจากนั่งเก้าอี้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ยังรั้งตำแหน่งประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ซึ่งในอดีตสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นพ.พรหมินทร์เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
จึงพูดได้ว่า นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช คือนายกรัฐมนตรีเงาของรัฐบาลชุดนี้ ที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนนโยบายของพรรคเพื่อไทย ภายใต้คำขวัญ“คิดใหญ่ ทำเป็น” และเป็นนโยบายที่มีเนื้อเดียวกับที่รัฐบาลไทยรักไทยสมัยทักษิณชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2544-2549 ก่อนจะถูกยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549
“เศรษฐา ทวีสิน”ก็แค่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว เป็นตัววางที่ถูกกำหนดให้เล่น และไม่รู้อะไรจริงสักเรื่องเดียว มีหน้าที่เดินสายแค่ออกงานอีเว้นท์เป็นการสร้างภาพเท่านั้น พูดอะไรผิดก็มีคนคอยตามแก้ให้ จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีสองคนในรัฐบาลชุดนี้เท่านั้นที่เสียงมีน้ำหนักและคอยตามแก้ให้นายเศรษฐา คือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช กับ“ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม นี้ก็คือการฟื้นคืนของ“ระบอกทักษิณ”อีกครั้งภายใต้ระบบ“ทักษิโณมิกส์” เพียงแต่รอวันที่นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร พ้นโทษ ถึงวันนั้นก็จะเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะทักษิณสามารถออกมาเล่นในที่แจ้งได้ การกลับมา“เลี้ยงหลาน”ในบั้นปลายของชีวิตก็แค่น้ำยาบ้วนปาก หรือการผายลมออกมาทางปากของนักโทษคดีทุจริตโกงชาติบ้านเมืองผู้นี้เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า นโยบายและโครงการต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยขับเคลื่อนผ่านรัฐบาลชุดนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องเดียวกับที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยในยุคทักษิณ ชินวัตร เคยทำมาแล้วและบางโครงการที่ยังไม่สำเร็จก็ถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ เช่น โครงการกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย ที่ในสมัยรัฐบาลทักษิณเคยทำไว้ อันเป็นโครงการที่มีผลต่อเนื่องมาจากการประชุม ครม.สัญจรหรือทัวร์นกขมิ้นของรัฐบาลทักษิณที่จังหวัดเลยในปี 2547 หลังการประชุม ครม.สัญจรในครั้งนั้นก็ได้มีการผลักดันเรื่องนี้ต่อ แต่ยังไม่ทันสำเร็จรัฐบาลทักษิณก็ต้องมีอันเป็นไปเสียก่อน
มาครั้งนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ก็อันเนื่องมาจากการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดหนองบัวลำภูของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ก็“เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่” และเป็นเรื่องเดียวกับที่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเคยทำมา และแต่ละโครงการมักมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ภายใต้ข้ออ้าง
เพื่อการพัฒนาที่จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในระดับรากหญ้า ตลอดจนเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สรุปให้เห็นก็คือ ระบอบทักษิณภายใต้ระบบทักษิโณมิกส์นั้น ก็คือการล้างผลาญงบประมาณแผ่นดินด้วยการใช้จ่ายเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น โดยใช้สองแนวทาง คือ กระตุ้นการส่งออกและการท่องเที่ยวรวมทั้งดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ และอีกแนวทางหนึ่งคือเน้นไปที่เกษตรกร ตลอดจนการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี
โครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทที่จะกู้มา 5 แสนล้านบาท และอีก 1 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่กำลังเป็นโครงการลูกผีลูกคนอยู่ในเวลานี้ คือภาพสะท้อนชัดเจน
เวลาสองเดือนกับ 25 วันที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน บริหารประเทศมีแต่ถลุงเงินอย่างเดียว ตัวเลขกลมๆ จากการประชุมคณะรัฐมนตรีทุกสัปดาห์ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติ การใช้เงินไปแล้วเกือบ 4 แสนล้านบาท แต่เรื่องที่จะได้เงินมาโดยโม้ว่าหาเงินเป็นนั้นมีแต่“ลมกับน้ำลาย”
ระบอบทักษิณระบบทักษิโณมิกส์กลับมาแล้วครับพี่น้อง!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี