“สังคมที่เงียบงัน คุณธรรมที่เหือดหาย” คือความรู้สึกของผมต่อสภาพสังคมและบ้านเมืองในแวดวงของการเมืองการปกครองและในแวดวงของสังคมชนชั้นกลางที่ค่อนไปทางสูงขึ้นไป
ไม่ใช่ในแวดวงของชาวบ้านร้านตลาด ชาวชนบท คนบ้านนอกคอกนา และคนหาเช้ากินค่ำ ที่แม้จะยากจน ชีวิตไม่ฟุ่มเฟือยหรูหรา แต่ก็มีความกล้า ความบริสุทธิ์ซื่อใส และตรงไปตรงมามากกว่า
ความรู้สึกต่อ “สังคมที่เงียบงัน” และ “คุณธรรมที่เหือดหาย” นี้ ก่อตัวขึ้นจากเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมโดยตรง และจากเหตุการณ์ภายในสังคมที่อยู่รอบ ๆ ตัวผม
ยกตัวอย่างเช่น เวลาผมโพสต์อะไรลงในเฟซบุค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมเขียนเองหรือเรื่องของคนอื่น ถ้าเป็นเรื่องมีสาระ เรื่องที่แสดงถึงจุดยืนทางสังคมและการเมือง ส่วนใหญ่จะมีคนเข้ามากดไลค์กดแชร์น้อยมาก แม้ในชีวิตจริงจะมีความเห็นต่อเรื่องนี้คล้ายกัน คิดเหมือน ๆ กัน และมีจุดยืนไม่ต่างกัน
ตรงกันข้าม หากผมโพสต์อะไรเบา ๆ ที่ไม่เกี่ยวพันกับปัญหาสังคมหรือการเมือง เช่น วันนี้มีเพื่อนคนไหนมาหาที่ร้านของผม หรือผมไปสังสรรค์กับใครที่ไหนบ้าง ยอดไลค์จะมากสักหน่อย แม้ทั้งที่ผมจะมีเพื่อนน้อยทั้งในชีวิตจริงและในสังคมออนไลน์
กล่าวโดยสรุปคือ เรื่องที่เกี่ยวกับบ้านเมือง แม้มีความรู้สึก มีความเห็น แต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะสงบปากสงบคำ เลือกที่จะไม่แสดงท่าที และเลือกที่จะเป็นคนดูอยู่ห่าง ๆ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ติดต่อตกลงกับผู้มีอำนาจเดินทางกลับเข้ามารับโทษคดีทุจริตโกงกินหลายคดี และต่อมาได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษจากจำคุก 8 ปี เหลือ 1 ปี ทั้งยังได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษด้วยการไม่ต้องติดคุกอยู่ในเรือนจำเหมือนนักโทษทั่วไป แต่ย้ายไปอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนถึงทุกวันนี้เกินกว่าร้อยวันเข้าไปแล้ว โดยคนทั่วไปไม่เชื่อว่าป่วยจริงและไม่มีใครทราบว่ายังอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่
ล่าสุด มีการออก “ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566” ที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานที่คุมขังอื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้นักโทษเทวดาทักษิณ
แต่กระนั้นก็ไม่มี “ผู้กล้า” คนใด ออกมาต่อต้านคัดค้านอย่างจริงจัง นอกจากกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) กับ ทนายนกเขา และอีกบางคน ที่ออกมาแสดงปฏิกิริยาเคลื่อนไหวไม่เห็นด้วยกับกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจที่พยายามปกปิดข้อมูลและปฏิบัติต่อนักโทษชายทักษิณให้มีอภิสิทธิ์ไม่ต้องติดคุกเหมือนนักโทษทั่วไป
การเคลื่อนไหวของ คปท. เป็นการเคลื่อนไหวที่น่าชมเชย น่าสดุดี แม้ไม่ค่อยมีแนวร่วม และไม่สู้มีพลัง เพราะ “ผู้เคยกล้า” ทั้งหลายล้วนมีอาการจุกอก พูดไม่ออก ไม่อยากพูด หรือไม่ต้องการพูด ไม่ว่าจะเป็นอดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตร หรือ กลุ่ม กปปส. ที่เคยมีบทบาทต่อสู้ขับไล่ทักษิณกับพวกอย่างดุเดือดเลือดพล่านมาแล้วในอดีต
ไม่ต้องพูดถึงสื่อมวลชน ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เพียงนำเสนอข่าวตามกระแส ไม่มีการเจาะข่าว ไม่มีการติดตามขุดคุ้ยค้นหาความจริงเพื่อประโยชน์ของสังคมเหมือนนักข่าวหัวเห็ดในอดีต หรือเหมือนทีมงานของอาจารย์สมเกียรติ อ่อนวิมล ที่เคยขุดคุ้ยตีแผ่เรื่องฉาวของพระยันตระให้สังคมรับรู้ความจริงมาแล้ว
สังคมไทยทุกวันนี้ จึงเป็นสังคมที่เงียบงัน !
เงียบงันต่อเรื่องชั่ว ๆ ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา !
เงียบงันเท่านั้นยังไม่พอ... คุณธรรมในแวดวงการเมืองการปกครองและในแวดวงของสังคมชนชั้นกลางที่ค่อนไปทางสูงขึ้นไป ยังเหือดหายไปด้วย !
เฉพาะในแวดวงการเมือง การพลิกลิ้นตระบัดสัตย์ ไม่ใช่นิสัย แต่เป็นสันดาน
เมื่อวานพูดอย่าง วันนี้พูดอีกอย่าง เป็นเรื่องปกติของคนเลวที่เข้ามาเล่นการเมือง
เมื่อวานบอก “ดูหน้าดิฉันไว้.... คนที่ทำรัฐประหารมา ดิฉันจะอยากจับมือด้วยไหม”
มาวันนี้ อยากจับมือกับคนที่ทำรัฐประหารเพื่อให้พรรคตนเองได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล คนของตนได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็บอกอีกอย่างว่า “วันนี้เมื่อไม่เป็นอย่างที่เราคิด มันไม่เป็นไปตามที่เราแพลนไว้ เราจึงต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้ประเทศชาติไปต่อ”
หรือเมื่อวานบอกจะทำการเมืองแบบตรงไปตรงมา วางหลักการว่าคนเราต้องเท่ากัน
แต่เมื่อดอดไปทำซุปเปอร์ดีลลับที่ฮ่องกงกลับมา วันนี้จึงไม่มีการตรวจสอบกรณีเทวดาชั้น 14 ที่มีอภิสิทธิ์ไม่เท่า แต่มากกว่านักโทษทั่วไป ไม่มีการตรวจสอบการทำงานของกระทรวงคมนาคมที่ญาติของตนเป็นเจ้ากระทรวง และสังคมกำลังรอดูว่าจะเอาจริงเอาจังกับ “ตั๋วผู้กำกับ” ที่นายเศรษฐา ทำปืนลั่นออกมาแค่ไหน
ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ ในที่ประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ แม้เราจะโชคดี ได้เห็นคนที่รักษาคำพูด คนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ
แต่เราก็โชคร้าย ได้เห็นการตระบัดสัตย์ครั้งใหญ่ของหัวหน้าพรรคคนใหม่ ที่เคยประกาศก่อนการเลือกตั้งว่าจะเลิกเล่นการเมืองไปตลอดชีวิตหากได้ ส.ส.น้อยกว่า 52 ที่นั่ง
การรักษาคำพูด เป็นคุณธรรมสำคัญของคนเรา ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน
คนที่ไม่รักษาคำพูด ไม่รักษาคำมั่นสัญญา พลิกลิ้น ตระบัดสัตย์ คือคนที่ตายไปแล้ว
ตายไปแล้วจากความเชื่อมั่น เชื่อถือของมวลชน
แต่นักการเมืองส่วนใหญ่ในวันนี้ กลับยินดีที่จะตระบัดสัตย์ สลัดทิ้งคุณธรรมเพื่อแลกผลประโยชน์ส่วนตน
สังคมไทยวันนี้ จึงเป็น “สังคมที่เงียบงัน คุณธรรมที่เหือดหาย” !
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๖
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี