เรื่องราวของ“ตระกูลชินวัตร”นั้น ทำไปทำมาก็คล้ายคลึงกับ“ตระกูลมาร์กอส”ในฟิลิปปินส์ วนเวียนอยู่กับอำนาจและผลประโยชน์ สืบทอดต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นมหากาพย์อมตะนิรันดร์กาล
ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซึ่งเป็นบิดาของ“เฟอร์ดินานด์ มาร์กอสจูเนียร์” หรือ“บองบองมาร์กอส” ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนปัจจุบัน เปรียบไปก็เหมือนอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่ครองอำนาจในฟิลิปปินส์ยาวนานเกือบ 21 ปี (พ.ศ.2508-พ.ศ.2529) ก่อนจะถูกประชาชนลุกขึ้นมาขับไล่ลงจากอำนาจในปี 2529 อันเนื่องมาจากการทุจริตคอร์รัปชันที่มีวงเงินถึง 5-10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้อำนาจเผด็จการปกครองประเทศ จนได้ชื่อว่า“เป็นผู้นำเผด็จการฟิลิปปินส์”
หลังจากถูกขับไล่, “มาร์กอส”กับครอบครัวหลบหนีออกนอกประเทศไปลี้ภัยอยู่ในรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมสินทรัพย์จากการคอร์รัปชันมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยทางการฟิลิปปินส์ก็ได้อายัดทรัพย์สินทั้งหมดของ“ตระกูลมากอส” และดำเนินคดี“มาร์กอส”ในข้อหาใช้อำนาจอิทธิพลคอร์รัปชัน ในระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
“ทักษิณชินวัตร”โชคดีกว่า“มาร์กอส” เพราะหลังจาก“มากอส”ถูกประชาชนลุกขึ้นมาขับไล่ และต้องระเห็จหนีไปอยู่ฮาวาย จากนั้นก็มิได้กลับประเทศอันเป็นดินแดนถิ่นเกิดอีกเลย โดยหนีออกจากฟิลิปปินส์ไปพร้อมกับศรีภริยา“อีเมลดามาร์กอส” เจ้าของตำนาน“รองเท้าแบรนด์เนม 3 พันคู่”ที่มีไว้สวมใส่ไม่ซ้ำวันเช่นที่“แพทองโพย”เดินตามรอย ทั้งนี้ “มาร์กอส”เสียชีวิตที่ฮาวายในวัย 72 ปี เมื่อปี 2532 หลังจากหลบหนีออกนอกประเทศไปได้เพียงแค่ 3 ปี
ขณะที่“ทักษิณ ชินวัตร” หนีโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศนานกว่า15 ปี เมื่อกลับมาแล้ว ก็ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปี เหลือเพียงแค่ 1 ปี แต่ก็หาได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแต่อย่างใดไม่ กระทั่งส่งผลให้เกิดกรณี“ป่วยทิพย์-ชั้น14” ที่กลับมาเป็น“บ่วงมัดคอ”ตนเองอีกครั้ง มิหนำซ้ำ ยังทำให้ข้าราชการประจำในสองหน่วยงาน คือกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ต้องติดร่างแหไปด้วย
“ตระกูลมาร์กอส”ของฟิลิปปินส์ ใช้เวลาถึง 36 ปีกว่าจะกลับมายึดครองอำนาจในฟิลิปปินส์ได้อีกครั้ง โดยที่“เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์” ทายาทชายคนเดียวของ“มากอส”อดีตผู้นำเผด็จการฟิลิปปินส์ สามารถเอาชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนที่ 17 เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2565 ในวัย 65 ปี ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายมากกว่า 31 ล้านเสียง
ส่วน“ตระกูลชินวัตร” แม้“ทักษิณ ชินวัตร”จะถูกโค่นลงจากอำนาจในปี 2549 ด้วยข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน เป็นเผด็จการรัฐสภา ละเมิดสิทธิมนุษยชน และมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่บริษัทเทมาเส็ก หรือกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ มูลค่ากว่า 7.3 หมื่นล้านบาท อันเป็นที่มาของคดีทุจริต“ให้นอมินีถือหุ้นแทน” และทักษิณถูกพิพากษจำคุก 5 ปี ก็ตาม, แต่ทักษิณก็ยังมีอำนาจ ต่างจาก“เฟอร์ดินานด์มาร์กอส”ที่ไปแล้วไปลับ ด้วยการชักใยรัฐบาล“หุ่นเชิด”ถึง 3 รัฐบาล ก่อนจะกลับมาเข้ามาในประเทศไทยเมื่อเดือนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นั่นก็คือ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช, รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถ้า“ทักษิณ ชินวัตร”คิดได้ และมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง เมื่อมีโอกาสได้กลับเข้ามาในประเทศอีกครั้ง โดยใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างผู้คนทั่วไป และเลี้ยงหลานตามที่เคยลั่นวาจาไว้ พร้อมทั้งรู้สึกสำนึกผิดเช่นที่กราบังคลทูลถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยลดโทษว่า “เมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก, ด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา ขณะนี้อายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วย ต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ” ซึ่งถ้าทักษิณประพฤติปฏิบัติดังถ้อยความที่กราบบังคมทูล ในวันนี้ทักษิณก็จะมีความสงบสุขช่วงบั้นปลายของชีวิต
อย่างไรก็ตาม, เรื่องราวของคนนั้น หาใช่เพราะโชคชะตาฟ้าลิขิตแต่อย่างเดียวไม่ หากแต่ตนเองก็เป็นผู้มีส่วนกำหนดเช่นเดียวกัน เฉกเช่น“ทักษิณ ชินวัตร” ที่ยังมีความอาฆาตแค้นเป็นเจ้าเรือน และมีความต้องการในอำนาจที่จะนำไปสู่ผลประโยชน์ และความมั่งคั่งที่ไม่รู้จักพอ จึงจับลูกสาวที่ไร้สติปัญญาและขาดความรู้ความสามารถขึ้นมาเชิดเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อที่ตนเองจะประทับร่างทรงได้มากกว่า“นายกฯหุ่นเชิด”คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือแม้กระทั่ง“เศรษฐา ทวีสิน”
วันนี้วันที่ 22 พฤษภาคม คงจะได้เห็นเคราะห์กรรมของคนใน“ตระกูลชินวัตร”คนแรก กรณีที่ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษา ว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”จะต้องชดใช้ค่าเสียหายต่อโครงการรับจำนำข้าว สมัยที่ตนเองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จากวงเงินทั้งสิ้น 3.57 หมื่นล้านบาท หรือตัวเลขกลมๆ 35,717 ล้านบาท
โดยคดีนี้ ในทางอาญาส่งผลให้“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต้องกลายเป็นนักโทษหนีคดีตั้งแต่ปี 2560 จนถึงบัดนี้ จากคำพิพากษาตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมออกหมายจับ ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม)และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1
จบจากคดีน้องสาวแล้ว คิวต่อไปก็เป็น“ทักษิณ ชินวัตร” พี่ชายซึ่งเป็นพี่ใหญ่แห่งตระกูลชินวัตร ว่าในวันที่ 13 มิถุนายนเดือนหน้า ที่ศาลศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดไต่สวนคดี“ป่วยทิพย์-ชั้น14”นั้น รูปการณ์จะออกมาเป็นประการใด ศาลฎีกาฯท่านจะสั่งให้กลับเข้าไปติดคุกในเรือนจำตามโทษที่มีอยู่เลยหรือไม่ และถ้าต้องกลับเข้าไปติดคุก จะติด 8 ปีก่อนได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ หรือ 1 ปีหลังได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ
ถ้า“ทักษิณ ชินวัตร”หนีคราวนี้ เห็นทีว่าคงจะต้องหนียาวเหมือน“มาร์กอส”อดีตผู้นำเผด็จการฟิลิปปินส์ ชนิดที่ไปแล้วไปลับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี