ปัญหาคนขี้โกงคนชั่วซึ่งถือว่าเป็นปัญหาของสังคมนั้น ทำอย่างไรก็ไม่หมดไปจากโลกเสียที เมื่อมี“บักแม้ว”ได้ก็ต้องมี“ทิดแย้ม”ได้เช่นเดียวกัน เพราะกิเลสตัณหาเป็นของที่ติดมากับสันดานเดิมของคน กว่าจะเป็นผู้เป็นคนหรือเป็นมนุษย์ได้ก็ต้องฝึกและขัดเกลาจิตวิญญาณของตน ซึ่งจะสำเร็จเป็นมรรคเป็นผลได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นและศรัทธาของบุคคลผู้นั้น
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน เคยเทศนาไว้ ท่านว่ากิเลสใหญ่ชุดสำคัญที่บงการบทบาทของคนตามหลักพุทธศาสนานั้น อยู่ในกลุ่มที่มีจำนวน 3 คือ ตัณหา, มานะ และทิฏฐิ
ท่านเทศนาเป็นข้อคิดเอาไว้ว่า “ในพระพุทธศาสนานี้ เรามักจัดอะไรๆ เป็นชุดๆ กิเลสอีกชุดหนึ่งก็คือ รากเหง้าของอกุศล หรือรากเหง้าของความชั่ว ซึ่งมี 3 เหมือนกัน คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ โลภ โกรธ หลง เรียกว่าเป็นอกุศลมูล เรามักมองกันแต่กิเลสชุดรากเหง้านี้ ไม่ค่อยมองไปถึงกิเลสชุดที่เป็นตัวกำกับบทบาทของคน ซึ่งก็มี 3 เหมือนกัน กิเลสตัวกำกับบทบาทของคนชุดที่ว่าก็คือ ตัณหา, มานะ และทิฏฐิ”
แปลความได้ว่า ตัณหา คือ ความอยาก ความเห็นแก่ตัว ความอยากจะได้ อยากจะเอาเพื่อตัว,. ความมานะ คือ ความต้องการให้ตัวเด่น อยากยิ่งใหญ่ ความสำคัญตน หรือถือตนสำคัญ และทิฏฐิ คือ ความถือรั้นในความเห็นของตน ยึดติดในความเห็น เอาความเห็นเป็นความจริง
อย่างไรก็ดี กิเลสใหญ่ทั้ง 3 ตัวนี้ ไปดูอาเถอะ มีอยู่ครบบริบูณณ์ ทั้ง“บักแม้ว”และ“ทิดแย้ม” ที่กำลังเป็นข่าวหน้าหนึ่งอยู่ในเวลานี้
“ทิดแย้ม”ซึ่งสื่อให้ความสำคัญมากกว่าข่าว“บักแม้ว” จนกลายเป็นข่าวครึกโครมรายวันให้สื่อละเลงขายกันได้ในเวลานี้นั้น ถือว่า“เป็นบาป”หนักกว่า“บักแม้ว” เพราะสิ่งที่“ทิดแย้ม”ผู้มีระดับเป็นถึงสมภารประพฤติปฏิบัติในระหว่างที่ตนเป็นนักบวชนุ่งเหลืองห่มเหลือง ได้ละเมิดพระวินัยหรือ“ศีล 227”ข้อ ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นข้อกำหนด เพื่อจะทำให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในหมู่คณะสงฆ์
ส่วน“บักแม้ว”ไม่ใช่นักบวช เป็นปุถุชนที่ยังมีกิเลสหนา และมีแค่ศีล 5 คอยกำกับ ซึ่งละเมิดศีล 5 ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าละเมิดกฎหมายบ้านเมืองเมื่อใด ไม่ว่าจะละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หรือประมวลกฎหมายอาญา หากถูกจับได้ไล่ทัน สุดท้ายก็คือต้องติดคุก
แต่จะอะไรก็ตามที ในหลักพระพุทธศาสนานั้น ใครที่ก่อบาปก่อกรรมไว้ เคราะห์กรรมจะตกแก่ตัวผู้นั้นเอง อย่างเช่นนักบวชที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ หากไปทำ“อาบัติปราชิก” ผ้าเหลืองที่เป็นเครื่องนุ่มห่ม เช่น จีวร สบง อังสะ รวมทั้งรัดประคด ก็มิได้แปดเปื้อนไปด้วย หรือแม้แต่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็หาได้เสื่อมลงแต่อย่างใดไม่
กรณีของ“ทิดแย้ม”จึงตกอยู่แค่ตัวของทิดแย้มเอง งานนี้จึงทั้งถูกจับสึก และถูกจับดำเนินคดีอาญา ซึ่งถูกจับสึกถือว่าเป็นโทษสูงสุดของพระภิกษุสงฆ์ เนื่องจากทิดแย้มแกล่วงละเมิดสิกขาบท อันเป็น“อาบัติปราชิก” ที่มีอยู่ 4 ข้อ คือ ห้ามเสพเมถุน, ห้ามถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน, ห้ามจงใจพรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) และห้ามอวดอุตริมนุสธรรม หรือห้ามอวดรู้อวดเก่ง ทำนองว่า“เรารู้อย่างนี้-เราเห็นอย่างนี้” ประเภทเข้าใจผิดหลงตนเองว่าเป็นพระศาสดา
อดีพระธรรมวชิรานุวัตร หรือนายแย้ม อินทร์กรุงเก่า อายุกำลังจะครบ 70 ปีในวันที่ 27 มิถุนายนเดือนหน้า ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม อีกทั้งยังเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม, เป็นรองแม่กองธรรมสนามหลวง และเป็นอดีตเจ้าคณะภาค 14 ต้องถูกจับสึกเนื่องจาก“อาบัติปราชิก” 2 ข้อ เพราะนอกจากจะเบียดบังเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตนแล้ว ก็ยังเสพเมถุนกับนางสาวอรัญญาวรรณ วังทะพันธ์ หรือ“สีกาเก็น”อายุ 28 ปี โบรกเกอร์เว็บพนันออนไลน์ ที่สื่อรายงานว่า“แทะโลม”กันมาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยอีกหนึ่งข้อ
ส่วนคดีอาญาที่ทำให้คอตกต้องเดินเข้าคุกตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมนั้น “ทิดแย้ม”แกมีความผิดฐานกระทำการทุจริตยักยอกเงินจากบัญชีธนาคารของวัดโอนเข้าบัญชีธนาคารส่วนตัว เพื่อนำไปเล่นพนันออนไลน์ที่มีเส้นเงินมากกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง
ทั้งนี้ ตำรวจซึ่งเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนตั้งข้อหา“ทิดแย้ม”ในฐานะผู้ต้องหาที่ 1 ว่า “เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของบุคคลอื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่น เอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่ง หรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” และ“สีกาเก็น”สีกาคนสนิท ต้องตกเป็นผู้ต้องหาคนที่ 2 ในคดีเดียวกันฐานเป็นผู้สนับสนุน“ทิดแย้ม”กระทำความผิด โดยพบว่ายอดเงินที่ถูกเบียดบังจากคดีที่เกิดขึ้นรวมแล้วมีจำนวนกว่า 847 ล้านบาท
คดี“ยักยอกเงินวัด”นี้ นอกจาก“ทิดแย้ม” และ“สีกาเก็น”แล้ว ก็ยังมีนายเอกพจน์ ภูฆัง วัย 25 ปี หรือ“อดีตมหาเอกพจน์” ซึ่งเป็นอดีตพระลูกวัดที่เป็นพระคนสนิทของ“ทิดแย้ม”เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในฐานะตัวกลางที่โอนเงินจาก“ทิดแย้ม”ไปยัง“สีกาเก็น” โดยผู้สื่อข่าวถามอดีตมหาเอกพจน์”ว่า “ตอนนี้ยังนับถือทิดแย้มอยู่หรือไม่” มหาเอกพจน์ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาในคดีการพนันและได้ลาสิขาไปก่อนหน้านี้, ตอบแบบไม่อ้ำอึ้งและไม่ต้องหยุดคิดว่า “ก็ต้องตัวใครตัวมันครับ”
วกกลับไปดูกรณีของ“บักแม้ว” เมื่อไม่ได้บวชเป็นบรรพชิตหรือเป็นพระภิกษุสงฆ์เหมือน“ทิดแย้ม” เพียงเป็นแค่ฆราวาสผู้นับถือศาสานาพุทธ มีศีลกำกับอยู่ 5 ข้อ เมื่อถูกจับได้ไล่ทันว่าทุจริตประพฤติมิชอบต่อหน้าหน้าที่ เบียดบังทรัพย์สมบัติและงบประมาณของแผ่นดินไปเข้ากระเป๋าตนเอง ก็แค่ถูกดำเนินดคีตามกฎหมายของบ้านเมืองเท่านั้น ไม่ต้องถูกจับสึกเช่น“ทิดแย้ม”
“บักแม้ว”โชคดีกว่า“ทิดแย้ม” พอถูกดำเนินคดีก็หนี และมีข้าทาสคนสนิทที่ทอดตัวรับใช้ขณะมีอำนาจยังยอมสวามิภักดิ์ ต่างจาก“ทิดแย้ม” ยังไม่ทันไร “ทิดเอกพจน์”อดีตพระคนสนิทก็ชิ่งเอาตัวรอดบอก“ตัวใครตัวมัน”ทันที ดังนั้น เมื่อ“บักแม้ว”หนีคดีหนีโทษไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างแดน จึงไม่มีใครกล้าไปจับตัวมาเนินคดี ปล่อยให้หนีลอยนวลบินโฉบไปโฉบมาด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวแถวประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ประเทศไทยกว่า 15 ปี ก่อนจะขอกลับเข้ามารับโทษ แล้วก็“โกงการติดคุก”ต่อ โดยมีข้าทาสบริวารสังกัดส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นผู้เอื้อประโยชน์
แต่เพราะด้วยเหตุที่“บักแม้ว” ถ้าเป็นบรรพชิตก็ต้องบอกว่า“อวดอุตริมนุสธรรม” หลงเงาคิดว่าตนเองมีอำนาจคับฟ้า จึงเดินสะดุดขาตนเอง และส่งผลให้เวลานี้อาจจะต้องกลับเข้าไปติดคุกจริงๆ อีกรอบ ส่วนบรรดาข้าทาสบริวารที่ยอมทอดตัวรับใช้ก็เห็นทีว่าจะไม่รอดคุกด้วยเช่นกัน
อดใจรอดูนับจากนี้ไปอีกไม่ถึง 15 วัน ว่า“คุณสมศักดิ์”แกจะดิ้นอย่างไร หลังจากตั้ง“10 ขุนพล”ขึ้นมาคุ้ยมติแพทยสภา. เพราะคุณ“คุณสมศักดิ์”แกใจไม่เด็ดเหมือนอดีตมหาเอกพจน์ ที่จะกล้าพูดว่า-“ก็ต้องตัวใครตัวมันครับนายใหญ่” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี