อย่างที่ได้เขียนไปเมื่อวันก่อน ว่าเรื่องราวของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้น ยิ่งกว่าหนังชีวิตเรื่องยาวที่ไม่ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาเพราะทักษิณไม่ยอมทำตัวให้เป็นคนธรรมดา เป็นคนที่มีนิสัยถาวรชี้โกงและเอารัดเอาปรียบ ทำผิดในคดีทุจริตมีโทษก็หนี พอรู้ว่ากลับมาแล้วสามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องไปติดคุกในเรือนจำได้ เนื่องจากมีอำนาจอิทธิพลเหนือรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี กลับมาก็ไม่ยอมติดคุกทั้งที่ปากบอกว่ายอมรับโทษทัณฑ์ เพื่อจะได้อยู่บ้านเลี้ยงหลานในบั้นปลายของชีวิต
ปรากฎว่าเอาเข้าจริงก็ไม่เป็นไปตามนั้น ได้รับพระกรุณามหาธิคุณโปรดเกล้าลดโทษในคดีทุจริตประพฤติมิชอบจากต้องจำคุก 8 ปีเหลือ 1 ปีก็ยังไม่สำนึก ยังเลี่ยงบาลีอ้างว่าป่วยออกมาพักรักษาตัวนอกเรือนจำ จนถึงวันนี้เป็นวันที่ 126 วันนับตั้งแต่ที่ทักษิณกลับมาติดคุกโดยไม่ยอมนอนในเรือนจำแม้แต่วันเดียว จึงตกเป็นข่าวให้มีการพูดถึงอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมมีข้อกังขาว่านักโทษโกงบ้านโกงเมืองรายนี้ได้นอนพักฟื้นบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจจริงหรือไม่ หรือว่าได้ย้ายออกจากโรงพยาบาลตำรวจไปนอนที่“บ้านจันทร์ส่องหล้า”
การกลับมาแบบไม่ธรรมดาของนักโทษเด็ดชาดชายทักษิณ ชินวัตร คนเดียว หลังจากหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ต่างแดนกว่า 15 ปีนั้น ได้สร้างความเดือดร้อนและความกระอักกระอ่วนใจให้แก่ราชการประจำในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากต้องคอยรับใช้และเอื้อประโยชน์ให้กับทักษิณ โดยขาข้างหนึ่งของข้าราชการเหล่านี้แหย่เข้าไปในตะรางแล้วข้างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการกรมราชทัณฑ์หรือแพทย์โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่อธิบดีและแพทย์ใหญ่ลงมา
ลำพังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยังพอเอาตัวรอดได้ เพราะมีอะไรก็โยนให้ข้าราชการประจำที่เปรียบเสมือนกระโถนท้องพระโรงรับเคราะห์กรรมแทน ดังจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมานายเศรษฐา และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ต่างปฏิเสธและพยายามเลี่ยงตอบคำถามสื่อมวลชนในทุกๆ ครั้งเมื่อถูกถามถึงเรื่องนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร และถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ
ที่น่าจับตาเวลานี้ ก็คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 25 ธันวาคม 2566 แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบงานให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลกระทรวงต่างๆ โดยโยกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มากำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมแทนนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรีที่เคยได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกระทรวงนี้ ส่วนนายสมศักดิ์ถูกสับเปลี่ยนไปกำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข
การเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรีให้กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมของนายเศรษฐา ทวีสิน ครั้งนี้ ไม่อาจมองเป็นอย่างอื่นได้ ย่อมเกี่ยวข้องกับนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร โดยตรง เพราะเวลานี้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้หมดหน้าที่แล้ว ซึ่งได้ทำมาตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกทั้งหากให้นายสมศักดิ์กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมต่อไป ปัญหาก็จะพุ่งเป้ามาที่พรรคเพื่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อข้อเคลือบแคลงในการเอื้อประโยชน์ให้กับ“ทักษิณ ชินวัตร”จากระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 ที่แม้นายสมศักดิ์จะแก้ตัวบอกปัดว่าไม่เกี่ยวกับตน แต่ถึงอย่างไรก็คว้างงูไม่พ้นคอ เนื่องจากระเบียบนี้ออกตามกฎกระทรวงยุติธรรมสมัยที่นายสมศักดิ์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในปี 2563
สำคัญที่สุดก็คือ การออกระเบียบดังกล่าวของกรมราชทัณฑ์ซึ่งทำแบบ“ลนลาน เร่งรัด”เหมือนรีบเข็นออกมาเพื่อจะเอื้อประโยชน์ให้กับ“ทักษิณ ชินวัตร”ได้พ้นคุกโดยไม่ต้องนอนอยู่ในเรือนจำได้ไวๆ ซึ่งขาดความละเอียดรอบคอบ เช่น ไม่ได้มีการวางระเบียบปฏิบัติสำหรับการนำตัวผู้ต้องขังแต่ละประเภทไปอยู่ในสถานที่คุมขังนอกเรือนจำ ว่าจะจัดกลุ่มแยกประเภทอย่างไรและคุมขังไว้ที่ไหนอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากมีการกำหนดชัดเจนไว้แต่แรก ว่าให้สามารถคุมขังทักษิณใน“เรือนจำเทียม”ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเพียงคนเดียวก็ชัดเจนไปแล้ว
แต่การที่ไม่ได้กำหนดอะไรไว้เลย หากจะมากำหนดเป็นการเฉพาะทักษิณคุมขังแยกจากนักโทษคนอื่นๆ ที่อยู่ในเกณฑ์ให้คุมขังนอกเรือนจำในเวลานี้ ก็เหมือนที่อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และอดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ชี้ไว้ว่า “ถ้าอธิบดี(กรมราชทัณฑ์)กับคณะทำงานอยากติดคุก ก็เชิญเลย ติดแน่นอน...รับรองได้” และก็ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้“สมศักดิ์ เทพสุทิน”ออกมาฟาดงวงฟาดงากล่าวโทษไปที่ข้าราชการประจำคือกรมราชทัณฑ์ว่า ไม่รู้ระเบียบกฎเกณฑ์อย่างแท้จริง ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม พร้อมกับกล่าวว่า“หากเราไม่ได้คนที่มีคนที่ทำงานเข้าใจในระเบียบอย่างแท้จริง ก็จะเป็นปัญหาแบบนี้”
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค วัย 64 ปี เป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเคยเป็นเป็นผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการมาก่อน ซึ่งการที่ถูกมอบหมายและมอบงานให้กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม หากดูจากประวัติเพียงด้านเดียวก็ไม่มีอะไรที่น่าแปลกใจ อีกทั้งยังมีความเหมาะสมเสียด้วยซ้ำ ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายและเคยเป็นอดีตผู้พิพากษาและข้าราชการตุลาการ รวมทั้งเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทวงยุติธรรมมาก่อน
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์ทางเมืองที่มีเรื่องไม่ชอบมาพากลของนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นเดิมพัน ณ เวลานี้ จึงเท่ากับว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยได้ถูกพรรคเพื่อไทยโดยการกำกับบทของทักษิณนำ“เผือกร้อน”มายัดใส่ในมือ จะด้วยภาวะจำยอมหรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เป็นการตกกระไดพลอยโจนต้องเข้าไปเกี่ยวข้องและแบกรับภาระกรณีของทักษิณ แทนนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยไปแล้วโดยปริยาย
งานนี้ไม่มีเสมอตัว มีแต่เสียกับเสีย ถามว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จะเดินหน้าต่อไปอย่างไรบนทางสองแพร่งที่มีคำตอบเดียว คือ“ทักษิณ ชินวัตร”ต้องไม่ติดคุก ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี