(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ประเด็นปัญหาจากการดำเนินการตามมาตรา ๓๕ ที่สำคัญ คือ (๑) คนพิการยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการรับสิทธิตามมาตรา ๓๕ ว่าจะต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างไร แม้เจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานจะได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและชี้แจงสิทธิให้กับคนพิการได้รับทราบแล้ว แต่ด้วยโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ มีรายละเอียดค่อนข้างมาก บางครั้งคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการอาจจะไม่ได้ศึกษารายละเอียด ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ที่ดำเนินการก็มีแตกต่างกัน อาทิ การจ้างเหมาช่วงงาน คนพิการยังเข้าใจว่าต้องรับสิทธิ ๑ ปี แต่หลักเกณฑ์จ้างเหมาช่วงงานตามระเบียบกำหนดไว้เฉพาะมูลค่าการจ้างงานให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ได้กำหนดเรื่องระยะเวลาไว้ สำหรับการให้พื้นที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ ระเบียบได้กำหนดเรื่องเวลาไว้ชัดเจนว่าจะต้องให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ไม่น้อยกว่า ๑ ปี จึงมีความแตกต่างและความซับซ้อนในบางเงื่อนไขหรือบางกิจกรรม
(๒) นายจ้างหรือสถานประกอบการยังไม่เข้าใจในรายละเอียดว่าการให้สิทธิคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการตามมาตรา ๓๕ แล้ว ควรติดตามตรวจสอบโครงการเป็นระยะ โดยเฉพาะในกรณีที่นายจ้างหรือสถานประกอบการให้คนอื่นดำเนินการแทน อาทิ การฝึกงานหรือการจ้างเหมา ก็ควรควบคุมติดตามในเบื้องต้นด้วย ทั้งนี้ กรมการจัดหางานยินดีที่จะเป็นหน่วยรับแจ้งเรื่องร้องเรียนต่างๆ กรณีที่นายจ้าง สถานประกอบการ หรือคนพิการพบว่ามีการดำเนินการโดยผู้แทนหรือตัวแทนอื่นไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ก็สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์มาได้
(๓) กลไกการติดตามตรวจสอบ ซึ่งกรมการจัดหางานมีความพยายามที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหามาโดยตลอด และที่ผ่านมาการดำเนินการตามมาตรา ๓๕ มีจำนวนกว่า ๑ หมื่นรายในปี พ.ศ. ๒๕๖๑ มีจำนวนรวมกว่า ๑๒,๐๐๐ ราย กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ได้มีการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทบทวนขอบเขตอำนาจหน้าที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันเกี่ยวกับการติดตามตรวจสอบ เพื่อให้คนพิการไม่โดนเบียดบังสิทธิ หรือไม่โดนละเมิดสิทธิหลังจากที่ได้รับเห็นชอบจากกรมการจัดหางานไปแล้ว รวมถึงกำหนดแนวทางการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้การตรวจสอบความซ้ำซ้อนการใช้สิทธิให้มีความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากกรณีปัญหาคนพิการยื่นขอใช้สิทธิหลายสิทธิหรือในหลายพื้นที่ในเวลาเดียวกัน โดยระเบียบก็ไม่ได้จำกัดสิทธิ เรื่องการยื่นไว้ เพื่อให้คนพิการสามารถเลือกสิทธิที่ดีที่สุดได้ แต่การรับสิทธิจะสามารถรับได้เพียงสิทธิเดียว และด้วยกระบวนการตรวจสอบสิทธิในปัจจุบันยังเป็นระบบเอกสารจึงมีความล่าช้ากว่าจะสามารถตรวจสอบความซ้ำซ้อนของสิทธิได้ ก็อาจจะทำให้นายจ้างสูญเสียสิทธิ เมื่อคนพิการต้องเลือกใช้สิทธิแล้ว ซึ่งอาจจะส่งผลให้นายจ้างขาดความมั่นใจในการให้สิทธิกับคนพิการ
อย่างไรก็ตาม กรณีปัญหาเรื่องร้องเรียนของคนพิการตามมาตรา ๓๕ ที่มีการเบียดบังสิทธิของคนพิการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามสอบสวนข้อเท็จจริง และน่าจะได้ความชัดเจนต่อกรณีดังกล่าวมากขึ้น โดยเจตนารมณ์ของกฎหมายการจ้างงานคนพิการก็มุ่งเน้นให้จ้างงานคนพิการตามระบบปกติคือการจ้างงานตามมาตรา ๓๓ แต่มาตรา ๓๕ ถือเป็นกิจกรรมทดแทนการจ้างงาน ซึ่งหากร้อยเรียงมาตรการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการให้เกิดประโยชน์กับคนพิการอย่างยั่งยืนจากมาตรา ๓๕ ทั้งเรื่องการฝึกงาน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะพัฒนาศักยภาพคนพิการให้เข้าสู่การทำงาน และเรื่องจ้างเหมางานคนพิการหลังมีการพัฒนาด้วยการฝึกงานแล้ว ก็อาจจะใช้วิธีการจ้างเหมาก่อนที่คนพิการจะเข้าสู่การจ้างงานปกติตามมาตรา ๓๓ เพื่อให้คนพิการสามารถทำงานได้อย่างยั่งยืน
นายชนิสร์ คล้ายสังข์ ผู้อำนวยการกองกฎหมายสวัสดิการสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้กล่าวแสดงความคิดเห็น ดังนี้
กฎหมายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเขียนได้ก้าวหน้ามากในสมัยนั้น โดยนำเงื่อนไขและกลไกการใช้กฎหมายหลายอย่างมาใช้ แต่ด้วยรูปแบบกฎหมายฉบับนี้มีลักษณะส่งเสริมและพัฒนามาตรการต่างๆ จะอยู่ในรูปแบบของมาตรการจูงใจโดยเฉพาะภาคเอกชนเพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมาย อาทิ การลดภาษี การยกเว้นภาษี หรือสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนคำนวณภาษี เป็นต้น จึงควรพิจารณาว่าต้องมีมาตรการจูงใจอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน ซึ่งอาจจะรวมไปถึงมาตรการการพัฒนาโดยตรง โดยในกรณีการกำหนดเรื่องสัมปทานตามมาตรา ๓๕ จะใช้ได้เฉพาะกับหน่วยงานรัฐหรือไม่ โดยหลักการสัมปทานรัฐถือเป็นผู้มีเอกสิทธิ์ในเรื่องสาธารณประโยชน์ รัฐเท่านั้นที่มีสิทธิมอบให้คนใดคนหนึ่งไปใช้ประโยชน์ ซึ่งตามหลักนี้เอกชนไม่มีสิทธิในเรื่องของสัมปทาน เนื่องจากเป็นเอกสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล จึงเป็นการให้ใช้สิทธิแทนไม่ใช่สัมปทาน
ระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้สัมปทาน จัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงาน หรือจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นระเบียบในการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการตามมาตรา ๓๕ ไว้ โดยภาพรวมเห็นว่ามีหลักเกณฑ์ต่างๆ ไว้ดีแล้ว แต่ยังมีความยากในทางปฏิบัติ เนื่องจากระเบียบเขียนไว้ในลักษณะกว้างๆ ซึ่งระเบียบปฏิบัติควรเขียนให้มีความชัดเจนมากกว่านี้ หรืออาจมีแบบอย่าง (Role Model) วิธีการดำเนินงานตามมาตรา ๓๕ หรือมีโครงการนำร่อง (Pilot Project) เพื่อให้มองเห็นภาพการดำเนินการตามวิธีการต่างๆใน ๗ กิจกรรมของมาตรา ๓๕ ให้ชัดเจนมากขึ้น จะทำให้ภาคเอกชนสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายและเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการกฎหมายได้อย่างชัดเจน เมื่อเอกชนเห็นประโยชน์มากขึ้นก็จะจูงใจให้จ้างงานคนพิการมากขึ้นนอกจากนี้ วิธีการจัดจ้างเหมาช่วงงาน จ้างเหมาบริการ หรือฝึกงานตามมาตรา ๓๕ ก็เช่นเดียวกันควรมีต้นแบบการดำเนินการเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งผู้ประกอบการรวมถึงคนพิการ ที่จะได้ทราบวิธีการต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันเกี่ยวกับเงื่อนไขและขีดจำกัดระหว่างคนพิการและผู้ประกอบการ ซึ่งหากไม่มีตัวอย่างหรือโครงการนำร่องก็จะมองไม่เห็นภาพต่างคนก็อาจจะรู้สึกว่าตนเองเสียประโยชน์
เรื่องบทกำหนดโทษในกฎหมายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ซึ่งเป็นกฎหมายลักษณะส่งเสริม จึงไม่มีบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นบทกำหนดโทษในทางอาญา ส่วนใหญ่ใช้มาตรการจูงใจ ในการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี หากไม่จ่ายเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหมายจะมีมาตรการบังคับทางปกครองในการอายัดทรัพย์สิน ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็นมาตรการทางแพ่งกับมาตรการทางปกครอง เนื่องจากกฎหมายมีลักษณะเป็นการส่งเสริม จึงควรพิจารณาเพิ่มเติมว่าควรจะต้องปรับปรุงแก้ไขเรื่องบทกำหนดโทษเพิ่มเติมหรือไม่นอกจากนี้ ประเด็นความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับประเด็นที่เคยมีการหารือ ความหมายรัฐวิสาหกิจและผู้ประกอบการ ความเห็นส่วนใหญ่ก็จะปรับไปตามข้อเท็จจริงและกฎหมายนั้น ซึ่งในกฎหมายฉบับนี้กำหนดไว้ชัดเจนว่ารัฐวิสาหกิจเฉพาะที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น ซึ่งถือเป็นอีกประเด็นหนึ่งในการปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งมาตรา ๓๕ และมาตราอื่นๆ ที่มีการอ้างถึงหน่วยงานของรัฐไว้ด้วย
(อ่านต่อฉบับหน้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี