เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีข่าวเด็กหญิงที่รักแมวคนหนึ่งเสียชีวิต โดยผิวหนังมีรอยคล้ายหมัดกัด โลกโซเชียลก็ลือกันไปว่า น้องเสียชีวิตเพราะ “หมัดแมว” (แมวก็เลยเป็นแพะรับบาปอีกแล้ว) แต่หลักฐานทางการแพทย์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า “แมว” ไม่ใช่สาเหตุการเสียชีวิต แต่น้องเสียชีวิตเพราะโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือ SLE จึงทำให้ “แมวและหมัดแมว” รอดพ้นความผิดไป
วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องนี้กันครับ ผมมีข้อมูลที่น่าสนใจจากผศ.น.สพ.ดร.ปิยนันท์ ทวีถาวรสวัสดิ์ หน่วยปรสิตวิทยา ภาควิชาพยาธิคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเล่าให้ฟังครับ
สังคมไทยในปัจจุบันนั้น ความผูกพันระหว่างคนและสัตว์เลี้ยงมีมากขึ้น สัตว์เลี้ยงเปรียบเหมือน “สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว” ซึ่งในบางบ้านสุนัขและแมวนั้นแทบจะกินและนอน “ร่วมหมอน” กับเจ้าของเลยทีเดียว
เมื่อพูดถึง “แมว” สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็น “ตัวแถม” ที่อยู่คู่กับสัตว์เลี้ยงแสนรักของเรา (โดยที่เราไม่ต้องการ) นั่นก็คือ เจ้าปรสิตภายนอกตัวแสบได้แก่ “หมัดแมว” นั่นเอง
@หมัดคืออะไร?
หมัด หรือ flea เป็นปรสิตภายนอกสามารถพบได้ทั้งในสุนัขและแมวหมัดตัวเต็มวัยยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาลเข้ม มีลักษณะแบนด้านข้างมีความสามารถในการกระโดดได้สูง เข้าหาตัวสัตว์โดยอาศัยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
หมัดตัวเมียวางไข่บนตัวสัตว์ จากนั้นจะล่วงลงสู่พื้น ในระยะเวลาไม่นาน ไข่จะสะสมอย่างมาก โดยเฉพาะบริเวณ “พรม” ที่สัตว์เลี้ยงนอนไข่จะฟักได้ภายในเวลา 1 วันครึ่งเท่านั้น โดยที่ตัวอ่อนจะออกมาและลอกคราบ2 ครั้ง ตัวอ่อนจะกินอุจจาระแห้งๆ ของหมัดตัวเต็มวัย หมัดตัวอ่อนจะต้องสร้างเกาะป้องกันคล้ายตัวไหมเพื่อพัฒนาไปเป็นระยะกลางวัย ซึ่งใช้เวลาสร้างประมาณหนึ่งสัปดาห์ ปัจจัยสำคัญของการเกิดระยะนี้คืออาศัยฮอร์โมนของตัวหมัด
จากนั้นตัวกลางวัยจะลอกคราบไปเป็นหมัดตัวเต็มวัยจะใช้เวลานานเกือบ 5 เดือน บางครั้งหมัดอาจจะอยู่ในช่วงระยะกลางวัยได้นานถึง 6 เดือน ซึ่งนับเป็นปัญหาในการควบคุมประชากรหมัดอย่างมาก
@การก่อโรคของหมัดมีอะไรบ้าง
1.หมัดแมวและหมัดสุนัขสามารถอยู่อาศัยข้ามกันได้ เช่น หมัดแมวสามารถพบบนตัวสุนัขได้ และหมัดสุนัขก็สามารถอยู่บนตัวแมวได้เช่นกัน การดูดเลือดของหมัดทำให้เกิด “ผิวหนังอักเสบ” จะเกิดอาการคัน ขนร่วงเนื่องจากในน้ำลายหมัดจะมีสารก่อให้เกิดการแพ้ ผิวหนังจะเป็นตุ่มแดงๆกระจายบริเวณส่วนท้ายของลำตัวสัตว์ ซึ่งบางครั้งสัตว์จะเกิดอาการคันและกัดแทะตัวเอง ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียตามมาได้ ถ้ามีหมัดจำนวนมากสัตว์อาจเกิดภาวะโลหิตจางได้
2.หมัดยังสามารถนำเชื้อริคเก็ตเซีย ซึ่งเป็น “โรคสัตว์สู่คน”ที่สำคัญอีกโรคหนึ่ง ในปัจจุบันมีรายงานว่า หมัดหลายชนิดสามารถนำเชื้อริคเก็ตเซียชนิดนี้ได้ เช่น หมัดหนู (Xenopsylla cheopis)หมัดสุนัข (Ctenocephalides canis) และหมัดคน (Pulex irritans) เป็นต้นซึ่งจากรายงานล่าสุด พบว่ามีการตรวจพบเชื้อริคเก็ตเซีย 2 ชนิด ในประเทศไทย คือ “ไข้รากสากใหญ่” ทั้งในตัวอย่างเลือดสุนัขและเลือดผู้ป่วยในเขตกรุงเทพฯ รวมไปถึงการตรวจพบเชื้อในตัวหมัดอีกด้วย
3.หมัดยังสามารถนำเชื้อ แบคทีเรีย Bartonellahenselae ได้ หรือ “โรคแมวข่วน (Cat ScratchDisease)” ที่เราเคยคุยกันไปแล้ว ซึ่งมีรายงานการพบผู้ป่วยในประเทศไทยอาการที่ปรากฏ คือมีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนแรง กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และข้ออักเสบ สำหรับคนที่เลี้ยงแมวและถูกแมวข่วน ประกอบกับมีอาการไข้สูงแบบไม่มีสาเหตุ โรคนี้เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
4.บางครั้งภายในตัวหมัดอาจจะมีตัวอ่อนของ “พยาธิตืด”(Dipylidium caninum) อยู่ภายในตัวซึ่งเมื่อสัตว์เลียหรือกินหมัดเข้าไปโดยบังเอิญ จะทำให้สัตว์ได้รับตัวอ่อนของพยาธิตืดและจะมีการพัฒนาไปเป็นพยาธิตืดในลำไส้เล็กของตัวสัตว์ได้
5.หมัดอาจจะ “กัดคน” โดยบังเอิญ ซึ่งพบได้บ่อยว่าบางครั้งคนจะมีอาการแพ้น้ำลายหมัดเช่นกัน (ทำให้เกิดผื่นแดงที่ผิวหนังตามจุดที่ถูกกัดได้)
6.การใช้เล็บบี้ตัวหมัดให้ตาย “ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง” เพราะบางครั้งตัวอ่อนของพยาธิตืดในตัวหมัด อาจจะติดตามซอกเล็บของเรา และถ้าเราบริโภคอาหารทันทีโดยไม่ได้ทำความสะอาด ก็อาจจะได้รับพยาธิตืดเข้าไปโดยบังเอิญได้เช่นกัน
@มีวิธีควบคุมและกำจัดหมัดอย่างไร
ปัจจุบันการควบคุมและกำจัดหมัดสามารถทำได้หลายวิธี ยาที่ใช้มีทั้ง ยากิน ยาฉีด และยาหยอดหลัง ซึ่งผู้เลี้ยงสามารถปรึกษาสัตวแพทย์ใกล้บ้านของท่านถึงขั้นตอนการกำจัดและป้องกันปรสิตภายนอกอย่างถูกต้อง
และมีประสิทธิภาพ
ซึ่งการกำจัดหมัดอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในเวลาอันสั้นจะช่วยลดปัญหาเรื่องของการเกิดโรคผิวหนังจากการแพ้น้ำลายหมัดได้
ขอเรียนย้ำว่า การกำจัดหมัดให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องกำจัดทั้ง “บนตัวสัตว์” และ “ในสิ่งแวดล้อม” ควบคู่กันไป เนื่องจากประชากรหมัดที่เราเห็นบนตัวสัตว์เป็นเพียง 5% ส่วนอีก 95% นั่น จะเป็นระยะอื่นๆ ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมครับ
ดังนั้นในการดูแลสัตว์เลี้ยงแสนรักของพวกเราที่ดี คือการดูแลไม่ให้สัตว์เลี้ยงของเรานั้นติดปรสิตภายนอก ซึ่งนอกจากจะเป็นภัยร้ายกับสัตว์เลี้ยงของเราแล้ว ยังอาจเป็นภัยเงียบที่แฝงเข้ามาทำอันตรายเราและคนที่เรารักอย่างไม่รู้ตัวได้ครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี