โรคที่สามารถพบค่อนข้างได้บ่อยอีกกลุ่มหนึ่ง ในช่วงที่เกิด “พายุฝนและอุทกภัย” นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากถูกซ้ำเติมด้วยลมหนาวและอากาศเย็นแล้ว เราอาจพบว่าสัตว์เลี้ยงมักมีอาการไอ จาม ขี้มูกขี้ตาเกรอะกรัง ซึ่งนั้นคือโรคในกลุ่มการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ อันได้แก่ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หลอดลมอักเสบติดต่อ จนถึงปอดอักเสบหรือปอดบวม (รวมถึงไข้หัดสุนัข ซึ่งได้เคยพูดถึงอันตรายไปแล้วในตอนก่อนหน้านี้) ซึ่งในวันนี้ จะขอพูดรวมๆ เป็นกลุ่มอาการของโรคติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจครับ
“โรคติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ” นั้น สามารถเกิดได้กับสุนัขทุกช่วงอายุ แต่จะพบได้บ่อยในสัตว์ที่ไม่แข็งแรง ลูกสุนัขหรือสุนัขอายุมาก โดยเฉพาะสุนัขที่ร่างกายอ่อนแอ ที่อยู่ในภาวะเครียด จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง ซึ่งจะไวต่อการติดโรคได้ง่าย
อาการ : อาการที่พบ จะเริ่มตั้งแต่ ไอ จาม ซึม เบื่ออาหาร มีไข้ ไม่มีแรง น้ำมูก-น้ำตาไหล โดยที่อาการอาจจะรุนแรงมากขึ้น เช่น น้ำมูกเริ่มข้นขึ้น มีสีเข้มขึ้นตั้งแต่ขาวขุ่น เหลือง และเขียว บางตัวอาจมีอาการหอบ หายใจกระแทก หายใจด้วยช่องท้อง สัตว์จะมีสุขภาพทรุดโทรมลงไอรุนแรงขึ้น เยื่อเมือกซีดหรือมีสีเข้มจนเป็นสีม่วง และอาจเสียชีวิตได้เนื่องจากภาวะติดเชื้อในปอด ที่เรียกว่า ปอดอักเสบ หรือนิวโมเนีย (Pneumonia) นั่นเอง
สาเหตุ : เกิดได้จาก ทั้งเชื้อแบคทีเรีย และไวรัส (อาจมีเชื้อราร่วมด้วยก็ได้) เชื้อที่พบค่อนข้างบ่อยได้แก่ Canine Parainfluenza Virus, Canine Adenovirus Type 2 (CAV-2),Bordetella bronchiseptica ที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ (influenza)โรคหวัดและหลอดลมอักเสบติดต่อ (infectioustracheobronchitis หรือ Kennel cough) รวมถึงจากเชื้อStreptococcus pneumoniae ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบ (Pneumonia)
การติดต่อ : สามารถติดต่อได้โดยการรับเชื้อที่แพร่กระจายเชื้อในอากาศ โดยการ “หายใจ” เป็นหลัก หรือติดต่อจากการสัมผัส “คลุกคลีกับสัตว์ป่วยโดยตรง” โดยรับเชื้อจาก “น้ำมูก” ของสัตว์ที่ป่วย จากการไอ จามรดกัน หรือมีการเลียหน้าเลียตาให้กัน เชื้อจะแพร่กระจายได้รวดเร็ว โดยเฉพาะที่มีการเลี้ยงอย่างแออัด
การรักษา : สัตวแพทย์มักให้การรักษาตามอาการของโรคได้แก่
1.การให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งกลุ่มยาที่นิยมใช้กันอาจเป็นพวก Amoxicillin,Amoxicillin-Clavulanic acid, Norfloxacin, Ciprofloxacinเป็นต้น ซึ่งการเลือกใช้ยาในแต่ละกลุ่ม มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาถึงชนิดหรือกลุ่มของเชื้อแบคทีเรีย น้ำหนักตัวสัตว์ และปริมาณยาที่สัตว์จะได้รับในแต่ละมื้อ ซึ่งควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนให้ยาทุกครั้ง
2.การให้ยาตามอาการ เช่น ยาลดอาการไอ ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก ยาขยายหลอดลม ยาลดไข้แก้ปวด หรือยาขับปัสสาวะ ซึ่งในบางครั้งอาจใช้ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ร่วมด้วยกรณีมีภาวะการอักเสบมากๆ
3.การให้สารน้ำทดแทน ในกรณีที่สัตว์มีภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ (dehydration) หรือมีการสูญเสียน้ำจากการอาเจียนหรือท้องเสียร่วม
4.การให้ออกซิเจน ในกรณีที่มีภาวะปอดชื้น หรือปอดติดเชื้อจนทำให้สัตว์เกิดภาวะหายใจลำบาก (จนทำให้เยื่อเมือกที่เหงือกมีสีคล้ำหรือม่วง) เพื่อเพิ่มระดับของออกซิเจนในเลือดของสุนัข
การป้องกัน : โรคระบบทางเดินหายใจบางโรค เช่น หวัด และหลอดลมอักเสบติดต่อ รวมถึงไข้หวัดใหญ่และไข้หัดสุนัขนั้นสามารถป้องกันได้ด้วย การฉีดวัคซีนรวมประจำปี นอกจากนี้การดูแลสุขภาพ และอนามัยของสุนัขให้แข็งแรง ให้อยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก ใส่เสื้อให้น้องหมาเมื่ออากาศเริ่มเย็นและหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีสุนัขอยู่อย่างแออัด หรือเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ป่วย ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี