ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่รัฐสภาแห่งประเทศไทยเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สำหรับการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลอยู่นั้น ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง “มาเลเซีย” ก็มีเรื่องที่น่าจับตามองอย่างไม่กะพริบเช่นเดียวกัน นั่นก็คือการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศมาเลเซีย “นายมหาธีร์โมฮัมหมัด” แด่ “สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ ชาห์” กษัตริย์แห่งประเทศมาเลเซีย โดยสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ทรงลงพระปรมาภิไธยในหนังสือลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยุบคณะรัฐมนตรีทั้งหมด ตามคำกราบบังคมทูลและทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด ดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ จากนั้นนายมหาธีร์ก็ได้ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเบอร์ซาตู ซึ่งได้สร้างความสับสนต่อประชาชนจำนวนมาก ว่าทิศทางการเมืองของมาเลเซียนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป
ก่อนหน้านี้นายมหาธีร์เพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปเมื่อปี พ.ศ. 2561 และได้รับการยกย่องว่า เป็นการกลับมาในแวดวงการเมืองอีกครั้ง เพื่อช่วยเสริมสร้างประชาธิปไตย และรักษาเสถียรภาพทางการเมือง โดยได้ให้สัญญาไว้ก่อนการเลือกตั้ง ว่าจะกลับมาจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศมาเลเซีย
ถ้าติดตามการเมืองในประเทศมาเลเซียอย่างใกล้ชิด ก็น่าจะทราบกันดีว่า ก่อนที่นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด ในวัย 94 ปีจะได้รับชัยชนะเหนือ “พรรคมลายูสามัคคีแห่งชาติ” หรือ “อัมโน” ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2561 เขาได้ก่อตั้งกลุ่มพรรคแนวร่วมฝ่ายค้านขึ้นมา ภายใต้ชื่อ“ปากาตัน ฮาราปัน” หรือ “พันธมิตรแห่งความหวัง” และประกาศต่อผู้สนับสนุนว่า เขามาเพื่อที่จะจัดการกับ “นายนาจิบราซัค” แห่งพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรคเก่าของนายมหาธีร์ และนายนาจิบยังเป็นทายาททางการเมืองที่เขาเคยสนับสนุนมาก่อนหน้านี้ แต่เนื่องด้วยการเข้าไปพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะจากโครงการกองทุนวันเอ็มดีบี (1MDB) ซึ่งได้รับการก่อตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุน บริหารจัดการกองทุนในการริเริ่มพัฒนากลยุทธ์ระยะยาวทางเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่และเพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ โดยเน้นการลงทุนในเรื่องพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว และการเกษตร แต่แทนที่จะกลายเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาเลเซียตามที่ตั้งใจไว้ กองทุนนี้กลับสะสมหนี้จากทั่วโลกอย่างมหาศาล และกลายเป็นคดีความที่หลายประเทศทำการฟ้องร้อง
ด้วยเหตุดังที่กล่าวมา การรวบรวมพลังเสียงและการสนับสนุนจากประชาชนในการเลือกตั้งของมหาธีร์ จึงจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย เพราะเขามีแค่พรรคการเมืองตั้งใหม่ แน่นอนอำนาจย่อมสู้พรรคอัมโน ที่เขาได้สร้างมากับมือเองไม่ได้ดังนั้น เงื่อนไขการจับมือกับ “นายอันวาร์อิบราฮิม” ผู้นำกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้าน จึงเป็นทางเลือกที่ชัดเจนที่สุด แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเองจะเป็นคนที่ทำให้นายอันวาร์คนนี้ต้องคำพิพากษาศาลและถูกจำคุกในคดีต้องห้าม (มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน) ก็ตาม
“ปากาตัน ฮาราปัน” หรือ “พันธมิตรแห่งความหวัง” มาพร้อมกับข้อตกลงที่จะให้ “นายอันวาร์ อิบราฮิม” เข้ารับช่วงการเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ภายหลังนายมหาธีร์จัดการกับระบบต่างๆ ทางการเมืองต่างๆ ที่นายราจิบวางเอาไว้ และสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นในคดีกองทุนวันเอ็มดีบี คือการเอาคนผิดมาลงโทษ และยึดคืนทรัพย์สินที่ถูกยักยอกออกไปเข้ากระเป๋าคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมไปถึงการรอให้นายอันวาร์พ้นโทษด้วย
กระนั้นเมื่อเวลาผ่านไป การดำรงตำแหน่งของนายมหาธีร์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดและความชัดเจนในการส่งไม้ต่อให้นายอันวาร์ก็พร่าเลือน จนทำให้เกิดกระแสการกดดันให้นายมหาธีร์ลาออกอยู่เป็นระยะจากพรรคร่วมรัฐบาล ลามไปถึงข่าวลือที่ว่า จะมีพรรคการเมืองส่วนหนึ่งร่วมกันจัดตั้งพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ขึ้นมา โดยไม่มีนายอันวาร์และพรรคของเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง จากนั้นการประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายมหาธีร์ก็เกิดขึ้น พร้อมๆ กับการถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของ “เบอร์ซาตู”
เมื่อเป็นเช่นนั้น “นายอันวาร์ อิบราฮิม” (ออกจากคุกเมื่อกลางปี 2561) จึงเดินเกมกล่าวหาว่า “พรรคเบอร์ซาตู” ทรยศต่ออุดมการณ์ที่มีร่วมกัน และกำลังจะหันไปเข้าร่วมกับพรรคอัมโน หลังทราบข่าวว่าสมาชิกอาวุโสของพรรคเบอร์ซาตู และกลุ่มคนใน “พรรคพีเคอาร์” ที่เป็นสมาชิกในพรรคร่วมรัฐบาล (ผสม) ได้นัดพบกับพรรคอัมโน พรรคปาส พรรคเอ็มซีเอ (คนเชื้อสายจีน) และพรรคเอ็มไอซี (คนเชื้อสายอินเดีย) ที่โรงแรมเชอราตัน ในเมืองปาตาลิงจายา ก่อนหน้านี้แต่ไม่นานหลังการได้พูดคุยกับนายมหาธีร์นายอันวาร์ก็ออกมาแถลงอีกครั้งว่า นายมหาธีร์ไม่มีส่วนรู้เห็นต่อเหตุการณ์หักหลังทางการเมืองที่เกิดขึ้น และยืนยันว่า นายมหาธีร์จะไม่กลับไปร่วมงานกับพรรคอัมโนแน่นอน เขาเชื่อว่ามีคนสร้างเรื่องขึ้นเพื่อให้เกิดความระแวงแคลงใจต่อกันในพรรคร่วมรัฐบาล ก่อนประกาศสนับสนุนนายมหาธีร์กลับมานั่งบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อไป
แล้วก็เกิดการพลิกผันขึ้นอีกครั้งเมื่อ “พันธมิตรแห่งความหวัง” หรือกลุ่ม“ปากาตัน ฮาราปัน” เสนอให้ “นายอันวาร์อิบราฮิม” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของมาเลเซีย หลังจากที่ “นายมหาธีร์โมฮัมหมัด” ปฏิเสธการเข้าร่วมประชุมเพราะนายมหาธีร์ในเวลานั้น กำลังผลักดันแนวคิดของ “รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ”รัฐบาลที่ไม่มีฝักฝ่ายทางการเมือง และตัวเขาเองนั้นก็พร้อมที่จะกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ถ้าได้รับเสียงที่มากพอ หรือยินดีให้การสนับสนุนบุคคลที่ได้รับเลือก
จากนั้นกษัตริย์แห่งประเทศมาเลเซีย “สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ ชาห์” ก็ได้ทรงเรียกบุคคลและพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องมาประชุม เพื่อตกลงกันเป็นการภายในว่า ใครจะเป็นผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซียคนต่อไป แต่ก็ไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ จึงมีการเสนอให้ทำการเลือกโดยรัฐสภาในวันจันทร์ที่จะถึงนี้(2 มีนาคม 2563) โดยใครก็ตามที่จะได้รับการแต่งตั้งต้องได้รับเสียงสนับสนุนจาก สส. อย่างน้อย 112 คน นี่เองทำให้ช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่มาเลเซียกลายเป็นสุดสัปดาห์แห่งการเจรจาของทั้งสองฝ่าย
แม้ว่าที่ผ่านมานายมหาธีร์อาจเปรียบได้กับ “ความหวัง” ของประชาชนคนมาเลเซีย ในการสร้างการเมืองเพื่อการพัฒนาอย่างแท้จริง แต่การอยู่ในตำแหน่งผู้นำประเทศของนายมหาธีร์ ก็ยังคงมีคำถามต่อความสามารถในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันในรัฐสภา ความเป็นเอกภาพของทีมบริหารประเทศ รวมไปถึงการวิพากษ์ถึงการเริ่มต้นของรูปแบบเผด็จการแบบใหม่ ด้วยสไตล์การทำงานของเขา ซึ่งนายมหาธีร์เองก็ยอมรับในความผิดพลาดของการฟอร์มทีมรัฐบาลที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่การยอมรับก็ใช่ว่าจะลบข้อครหาความไม่จริงใจในการปฏิรูปการเมืองของเขาได้ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลต่างมีความสนใจร่วมกันในเรื่องนี้ และพยายามทำให้เกิดการปฏิรูปขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะนายมหาธีร์เองที่พยายามเล่นเกมการเมืองมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการส่งคนที่มีปัญหาลงมาทำงานร่วมกัน และการสร้างความบาดหมางในกลุ่มพันธมิตรแห่งความหวังโดยเป็นไปเพื่อรักษาอำนาจ
ข้อมูลข่าวสารมากมายถูกส่งออกมาในลักษณะเป็นบวกและเป็นลบกันทั้งสองฟากฝ่าย แต่คำถามที่ยังคงไม่มีคำตอบก็คือ อะไรกันแน่ที่ทำให้ “นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด” และ “นายอันวาร์ อิบราฮิม”โคจรกลับมาเป็นคู่แข่งขันทางการเมืองกันอีกครั้ง แน่นอนย่อมเป็นงานหนักของนายอันวาร์ เมื่อเสือเฒ่าวัย 94 ปี ประกาศยินดีต้อนรับทุกพรรคการเมือง แล้วทั้งอัมโน และพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไม่มีที่นั่งในสภาก็เหมือนกับจะตอบรับคำเชิญนี้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น การเมืองมาเลเซียจะออกหน้าไหน และกลเกมแห่งอำนาจจะขับเคลื่อนไปอย่างไร นี่คือสิ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี