เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้คุยกันถึงข่าวที่คนเลี้ยงหนูถูกหนูที่ตนเลี้ยงกัดจนเกิดโรคที่เรียกว่า “โรคไข้หนูกัด” ซึ่งมีอันตราย (แต่ไม่ค่อยพบในประเทศไทย)ซึ่งเราก็ได้ทราบวิธีป้องกันไปแล้ว สัปดาห์นี้ ก็จะขอนำโรคที่มีความใกล้เคียงกันแต่เกิดจากการข่วนหรือการกัดของน้องแมวมาเล่าให้ฟังกันครับ เพราะนอกจากที่เราต้องระมัดระวังเรื่องโรคพิษสุนัขบ้า หรือแผลติดเชื้อหนองที่เกิดจากการถูกกัดแล้ว “โรคแมวข่วน” ก็เป็นอีกโรคหนึ่ง ที่ผู้เลี้ยงควรทราบข้อมูลเบื้องต้นไว้ เพื่อดูแลสุขภาพตัวเองครับ ข้อมูลดีๆ วันนี้ มาจากผศ.น.สพ.ดร.ชาญณรงค์ รอดคำ จากภาควิชาจุลชีววิทยา คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ครับ
โรคแมวข่วน คืออะไร?
โรคแมวข่วน หรือ Cat Scratch disease เป็นโรคในแมวที่สามารถติดต่อจากแมวสู่มนุษย์ได้ด้วย โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บาร์โทเนลล่า เฮนเซลเล่ (Bartonella henselae) ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมลบ อาศัยอยู่ที่ผิวของเม็ดเลือดแดงของแมว มีรูปร่างเป็นแท่งสั้น โค้งงอเล็กน้อย สามารถก่อโรคได้ในมนุษย์ (Zoonoses) เมื่อคนถูกแมวกัดหรือข่วนหรือถูกแมวเลียที่บาดแผลได้
อาการที่พบ ทั้งในคนและแมวเป็นอย่างไร?
อาการในแมว :
ภายหลังการติดเชื้อ แมวจะมีเชื้อในกระแสโลหิตในระยะเวลาตั้งแต่ 3 เดือนถึงหลายปี อาการของโรคในแมว อาจพบว่า มีไข้ เบื่ออาหาร ม่านตาอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้ผิวหนังอักเสบ และเหงือกอักเสบ แต่ส่วนใหญ่ มักไม่แสดงอาการป่วยใดๆ แต่จะเป็นตัวแพร่โรคสู่คนได้
อาการในคน :
พบผื่นแดง ตุ่มพอง แผลหลุมที่บริเวณบาดแผลอาจพบต่อมน้ำเหลืองโตโดยทั่วไป โรคนี้สามารถหายเองได้ภายใน 4-8 สัปดาห์ แต่ในคนที่มีร่างกายอ่อนแอหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะมีความเสี่ยงสูงมากต่อการติดเชื้อโรคนี้แล้วทำให้เกิดอาการรุนแรง เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด มีไข้ เกิดการติดเชื้อที่ตา ระบบประสาทหรือมีตุ่มนูนที่ผิวหนัง และมีอาการของต่อมน้ำเหลืองอักเสบ (Lymphadenopathy)นอกจากนี้ยังพบรายงานการติดเชื้อแทรกซ้อนที่หัวใจและตับอีกด้วย
นอกจากแมวแล้วสัตว์ชนิดใดเป็นโรคแมวข่วนได้บ้าง?
ทั้งแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่า ก็สามารถติดเชื้อ Bartonella henslae ได้ ตามธรรมชาติ แมวที่มีเชื้อมักไม่แสดงอาการป่วย แต่จะเป็นพาหะนำเชื้อมาสู่คนได้
สัตว์ติดต่อโรคกันได้อย่างไร?
เชื่อกันว่า หมัดแมว (Ctenocephalidesfelis) เป็นพาหะนำเชื้อจากแมวตัวหนึ่งไปอีกตัวหนึ่ง แต่เชื้อไม่ติดต่อโดยตรงระหว่างแมวกันเองจากการข่วนหรือกัดกัน
การติดต่อจากแมวสู่คนเป็นอย่างไร?
คนสามารถติดโรคแมวข่วนนี้ได้ จากการถูกแมวที่มีเชื้อกัด ข่วน หรือเลียบาดแผล เนื่องจากเมื่อแมวตัวที่มีเชื้อในกระแสเลือด แล้วแมวเกากัด หรือข่วนตัวเองจนมีเลือดออก เชื้อในกระแสเลือดก็จะติดอยู่ตามซอกเล็บเขี้ยวและฟันของแมวเมื่อแมวเลีย กัด หรือข่วนเจ้าของจนเกิดแผล เชื้อก็สามารถเข้าสู่บาดแผลได้
การตรวจวินิจฉัยการติดเชื้อทำได้อย่างไร?
สามารถทำได้โดย การตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อ (antibody detection) การตรวจหาตัวเชื้อบาร์โทเนลล่าโดยการเพาะเชื้อ การใช้ปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส (Polymerase Chain Reaction : PCR) และเทคนิคทางอณูชีววิทยาอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อในแมวนั้นไม่สามารถบอกได้ว่า ในขณะนั้นแมวกำลังติดเชื้ออยู่หรือไม่ ในขณะที่วิธีการเพาะเชื้อ การใช้PCR และเทคนิคทางอณูชีววิทยาอื่นๆ สามารถบอกได้ว่าแมวกำลังติดเชื้อหรือมีเชื้ออยู่ในกระแสเลือด
การตรวจการติดเชื้อบาร์โทเนลล่าในแมวมีความจำเป็นในหลายกรณี เช่น การตรวจเมื่อต้องการทำการถ่ายเลือด (Blood transfusion) โดยการตรวจในแมวตัวให้เลือด (Blood donor) และตรวจเพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงในการติดเชื้อสู่คน โดยในโปรแกรมการถ่ายเลือดหากพบว่าตัวให้เลือดสามารถติดเชื้อบาร์โทเนลล่าจะไม่มีการนำมาใช้เป็นตัวให้เลือด เนื่องจากการรักษาให้ผลที่ไม่แน่นอนในการกำจัดเชื้อจากกระแสเลือด
เมื่อไรที่เราควรไปพบแพทย์?
ต้องเรียนว่า ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่ถูกแมวข่วนจะต้องถึงกับไปพบแพทย์นะครับ หากโดนแมวข่วน แล้วมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ อาทิ แผลกัดหรือข่วนหายช้า (ทั้งที่ทำความสะอาดแผลอย่างสะอาดเป็นประจำแล้ว) รอบรอยกัดหรือรอยข่วนมีสีแดงขึ้นและกว้างขึ้น ต่อมนํ้าเหลืองบริเวณรักแร้หรือขาหนีบบวมและปวดอยู่เป็นเวลานาน ปวดกระดูกหรือปวดข้อ หรือมีอาการอ่อนเพลียอย่างผิดสังเกตและเป็นไข้นานหลายวันครับ
เราสามารถป้องกันโรคนี้ได้ย่างไร?
การป้องกันโรคแมวข่วนนั้นสามารถทำได้ง่าย โดยการ
1.ป้องกันไม่ให้แมวมีหมัด เพราะหมัดเป็นตัวนำเชื้อโรคบาร์โทเนลล่ามาสู่แมว
2.เมื่อถูกแมวข่วนหรือกัด ให้ทำการล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำสบู่และใช้ยาฆ่าเชื้อทาแผลให้เร็วที่สุด
3.หลีกเลี่ยงจากภาวะที่ทำให้แมวข่วน เช่น การแกล้งหรือเล่นกับแมวอย่างรุนแรง เป็นต้น
4.หากโดนแมวข่วน แล้วมีอาการดังต่อไปนี้ให้ไปปรึกษาแพทย์ เช่น แผลกัดหรือข่วนหายช้า รอบรอยกัดหรือข่วนแดงขึ้นและกว้างขึ้น ต่อมนํ้าเหลืองบริเวณรักแร้หรือขาหนีบบวมและปวดอยู่นาน ปวดกระดูกหรือปวดข้อหรือมีอาการอ่อนเพลียอย่างผิดสังเกตและเป็นไข้นานหลายวันครับ
จะเห็นว่าโรคนี้สามารถป้องกันได้ไม่ยากเลยนะครับ หากปฏิบัติได้ดังนี้แล้ว รับรองได้ว่าเราสามารถอยู่กับแมวได้อย่างมีความสุข และห่างไกลจากโรคแมวข่วนนี้ แน่นอนครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี